เคยเจอความคิดเห็นหนึ่งในกระทู้พันทิปเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ ว่า ต้อม พลวัฒน์ คือนักแสดงที่หน้าตาหล่อทันสมัยเกินยุคของตัวเอง อ่านแล้วอดอมยิ้มตามไม่ได้ แต่ไม่ใช่แค่หน้าตาหรอกนะ แต่ทั้งมุมมองและวิธีการใช้ชีวิตทำให้เขาไม่เคยตกยุค
“ผมเริ่มทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 18 ถ่ายโฆษณา เดินแบบถ่ายแบบ เล่นหนัง เป็นวงจรอยู่ประมาณ 3 – 4 อย่าง ทำงานกับโปรดักชั่นเฮ้าส์ก็ตื่นตาตื่นใจ ทำไมเครื่องไม้เครื่องมือเขาเพียบพร้อมขนาดนี้ อ๋อ เพราะสายโฆษณาเงินเยอะกว่าหนัง เขาใกล้ฝรั่งมากกว่างานต่างๆ เริ่มให้ประสบการณ์กับผม แต่ละอย่างมีความเหมือนและต่างปนกันอยู่ เป็นโชคดีมาก ๆ ที่คิดไว้ในใจว่าอยากทำงานกับคนนั้นคนนี้แล้ววันหนึ่งก็ได้ทำงานร่วมกับเขาจริงๆ อย่างที่ฝัน การได้เจอทีมงานดีๆ มันให้ความรู้ นอกเหนือจากค่าจ้างผมได้รับอะไรหลายอย่าง
“ทำงานไปสักพักถึงเริ่มเข้าใจคำว่า ‘เบสิก’ เบสิกคือที่มาที่ไป ด้วยความที่ผมกระโดดมาทำงานเลย ไม่เคยรู้ว่าแต่ละองค์ประกอบมาจากไหน พวกวิธีคิด หลักการสื่อสาร เราอาจเป็นคนหน้ากล้อง แต่ควรคิดได้เหมือนคนเบื้องหลัง เขาคิดอะไรมา เขาต้องการอะไร แล้วผมซึ่งเป็นคนข้างหน้าจะทำในสิ่งที่เขาต้องการออกมาอย่างไร ผมมองว่ามันสำคัญ การได้กลับไปเรียนหนังสือ (นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ) ทำให้เห็นว่าสิ่งต่างๆ มันมีหลักคิด มีขั้นตอน รู้สึกดีนะครับที่ตอนนั้นเบื่อๆ แล้วตัดสินใจกลับไปเรียน
“จะทำอาชีพนี้ให้ดีมันต้องเรียนรู้ตลอดเวลา สมัยก่อนหลายคนบอกว่าอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพ ‘เต้นกินรำกิน’ จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย การเป็นนักแสดงต้องใช้ความคิดเยอะมาก อาศัยมุมมองและประสบการณ์เวลาที่เราได้บทมามันต้องเอามานั่งวิเคราะห์ ตัวละครตัวนี้เป็นคนแบบไหน คิดตั้งแต่ว่าเขาเกิดมายังไง ใช้ชีวิตยังไง สาเหตุของการกระทำของเขาคืออะไร ทำให้ได้รู้จักมนุษย์ รู้จักเรียนรู้ผู้อื่น รู้จักการถอยออกมามองดูสิ่งต่างๆ เวลาจะคิดหรือตัดสินเรื่องอะไรสักอย่าง มันสามารถประยุกต์ใช้กับชีวิตด้านอื่นๆ ได้
“ผมพูดเลยว่าอาชีพนี้เป็นทั้งชีวิตของผม ในเมื่อเราได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก หน้าที่ของผมคือทำให้ดีที่สุด ผมมองว่าตัวเองเป็นเหมือนผู้รับจ้าง เหมือนโปรดักต์ลอยๆ ชิ้นหนึ่งซึ่งผู้ว่าจ้างเขาอยากจะเอาไปใช้หรือเปล่า ผมก็แค่ดูแลตัวเอง พัฒนาความคิด พัฒนาฝีมือ แก้ไขข้อผิดพลาดและพยายามไม่ตกยุค
“คือผมตั้งใจไว้เลยว่าต้องดูแลตัวเองเผื่อวันหนึ่งจะได้ร่วมงานกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งตอนนี้ผมก็ได้เจอผู้กำกับใหม่ๆ หลายคนที่ทำงานด้วยแล้วรู้สึกแฮ็ปปี้มาก หรืออย่างซีรี่ส์เรื่อง O-Negative นักแสดงเด็กๆ พวกนั้นรุ่นลูกผมเลย ทำงานร่วมกับพวกเขาก็สนุกสนานดี หลายคนเขามีพื้นฐานมาจากหนัง ตัวผมเองก็โตมาจากหนัง ยิ่งการถ่ายทำเดี๋ยวนี้แอ๊คมันก็เหมือนหนัง ไม่ได้เป็นระบบสวิตช์ที่ต้องรอกล้องแล้วทำให้เสียมู้ดระหว่างแสดง ส่งมาส่งกลับได้ทันที”
(สุดฯ : ทำงานกับเด็กๆ แล้วรู้สึกแก่ไหม) “ไม่เลยครับ ผมรู้จักอะไรต่างๆ แบบที่พวกเขารู้จัก เพียงแต่ไม่ได้พยายามจะทำตัวเด็กหรืออยากเป็นเด็กเหมือนพวกเขา ผมแค่เป็นผม ใส่กางเกงยีน เสื้อยืดรองเท้าผ้าใบในแบบของเรา เพราะมันสบาย เล่นโซเชียลมีเดียบ้าง แต่ผมไม่ได้เป็นคนที่มีข่าวเยอะ ส่วนแฟนคลับก็เป็นเหมือนญาติครับ (หัวเราะ) เจอกันเวลาที่ผมออกไปนู่นไปนี่ มียิ้มทักทาย ขอถ่ายรูปบ้าง ไม่ได้เข้ามารุมกรี๊ดอะไร มันเลยจุดนั้นไปแล้ว
“ผมมองว่าการวิพากษ์วิจารณ์บนโลกโซเชียลทุกวันนี้มันดีนะครับ เราสามารถทำได้ แต่ผมไม่ชอบเรื่องการใช้ภาษาที่มันอาจจะ…มากเกินไป คนอ่านเขามองกลับไปถึงคนเขียน เหมือนที่เขาบอกว่า ‘ภาษาส่อสกุล’ คอมเมนต์ต่างๆ ก็เป็นเหมือนกระจกสะท้อนตัวคนพิมพ์ ผมแค่เสียใจแทนบางคนที่เขาถูกว่าอย่างรุนแรง เราต้องใช้ภาษาแบบนั้นกับเขาด้วยเหรอ ที่สำคัญคือคุณรู้จริงหรือเปล่า บางคนเขาอาจจะเฉยๆ หรือโต้ตอบกลับ แต่ถ้าแรงหน่อยก็เจอเรื่องกฎหมาย โดนฟ้องหมิ่นประมาท ถึงตอนนั้นมาคิดว่าฉันไม่น่าทำเลยก็ไม่ทันแล้วครับ มันเหมือนคนมีปืนต้องคิดเยอะๆ ก่อนใช้
“กลับกันผมว่าคนเราไม่มีใครอยากโดนตำหนิหรอกครับ ในฐานะของคนที่อยู่บนพื้นที่สื่อ ถ้าเราอยากจะโดนตำหนิน้อยที่สุดก็ต้องขัดเกลาระบบกลั่นกรองของตัวเองให้มากที่สุด ถ้ามีหลักยึดที่ถูกต้อง เป็นสากล มันจะเป็นเกราะป้องกัน
“ปัจจัยที่ทำให้ไม่รู้สึกแก่มันมาจากหลายๆ อย่าง หนึ่ง อาชีพ นี่กึ่งบังคับ ทำให้เราต้องดูแลตัวเอง งานแสดงสภาพร่างกายต้องพร้อมสมองต้องดี ต้องออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดี ที่จำเป็นต่อร่างกาย ผมถือว่าร่างกายของคนเราเป็นเรื่องดั้งเดิม ไม่ได้เกี่ยวกับ Genต่างๆ ไม่เกี่ยวกับว่ายุคนี้ไฮเทคหรือโลว์เทค ไม่ว่าโลกจะวิวัฒนาการไปอย่างไร ร่างกายคนเราก็ต้องการอาหารที่มีประโยชน์เหมือนเดิม ฉะนั้นเราก็ต้องกลับมาทำความรู้จักกับอาหารมากขึ้น อาหารชนิดนี้กินแล้วให้อะไร เกิดผลอะไรกับร่างกาย ผมไม่ใช่สายชั่งแคลอรีนะครับ แค่เลือกว่าเราควรรับประทานอะไร กินผักมากขึ้นลดเนื้อสัตว์ลง อีกอย่างต้องมีเวลาพักใจบ้าง เบื่อๆ ผมก็ไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด
“ผมมีความชอบเรื่องการเกษตร ชอบแนวพระราชดำริเรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว ก็ค่อยๆ ศึกษาสะสมความรู้พร้อมๆ กับความจริงจังที่เพิ่มขึ้น ซื้อที่ไว้แปลงหนึ่งขุดบ่อเก็บน้ำ ปลูกพืชผักผลไม้ เลี้ยงไก่ไข่ ตามทฤษฎีของในหลวงเลยครับ แบ่งพื้นที่ทำหลายๆ อย่าง ผมมองว่ามันเป็นความมหัศจรรย์นะครับที่เมล็ดพืชเมล็ดนิดหนึ่งเอาไปปลูกแล้วโตขึ้นมาเป็นต้น มีลูก บวกกับปีที่น้ำท่วมเยอะๆ มีเงินแต่ซื้อของไม่ได้ เจ็บปวดพอสมควรต้องแย่งกันซื้อของ ฉะนั้นผมเลยเตรียมแหล่งอาหารในชีวิตเอาไว้ ปลูกกินเอง เผื่อแผ่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูง
“เคล็ดลับของผมมีแค่นี้ ทำให้โสตทั้ง 5 รับแต่สิ่งดีๆ อาหารดี อากาศดี ได้ยินแต่สิ่งดีๆ ฟังเพลงเพราะๆ จิตใจดี ถ้าดูแลมันดีก็ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าหมอ ปัจจุบันเขาอาจจะเรียกว่า ‘สโลว์ไลฟ์’ แต่ผมทำมานานแล้วครับ ตั้งแต่ยังไม่มีคำพวกนี้ (หัวเราะ) มันเป็นวงจรชีวิตของผม…เป็นปกติครับ”
เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ
5 หนุ่มแซ่บ ของ 5 สาว The Face Thailand
ส่องหนุ่มคนใหม่? และเหล่า ผู้ชายแซ่บ ของ ขุ่นแม่อั้ม พัชราภา
กรี๊ดหนักมาก!! 8 หนุ่มแซ่บจากซีรีส์ Gay Ok Bangkok ซีซั่น 2