GROOVE RIDERS กับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยความผูกพัน และเพลงชาติงานแต่งที่จะเป็น Playlist ตลอดไป

account_circle
event

 

หลังจากแยกย้ายกันไปทำผลงานของตัวเองและภารกิจส่วนตัว จนแฟนๆ ต่างถามถึงกันมานานหลายปีว่า GROOVE RIDERS จะรวมตัวกันอีกไหม และก็สิ้นสุดการรอคอยที่ยาวนานกว่า 17 ปี เมื่อ Godfather of Disco ของเมืองไทยประกาศจัดคอนเสิร์ตใหญ่ให้ได้ย้อนเวลากลับไปนึกถึงความทรงจำสุดพิเศษ กับเพลงมากมายที่คุ้นเคย

วันนี้สุดสัปดาห์มีโอกาสเจอกับสมาชิกทั้ง 4 คนแบบพร้อมหน้าพร้อมตา บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์, ณฐพล ศรีจอมขวัญ (ก้อ), อดิศักดิ์ หัตถกุลโกวิท (กั้ง), มาตรชัย มะกรูดทอง (มาตร) เลยชวนย้อนวันวานถึงเรื่องราวความทรงจำดีๆ ที่เต็มไปด้วยความผูกพัน เพลงชาติงานแต่ง และการเตรียมงานคอนเสิร์ตครั้งสำคัญ

GROOVE RIDERS กับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยความผูกพัน และเพลงชาติงานแต่งที่จะเป็น Playlist ตลอดไป

 

GROOVE RIDERS: สวัสดีครับ พวกเรา GROOVE RIDERS ครับ

การได้มานั่งพูดคุยกันวันนี้ถือว่าเป็นโอกาสพิเศษมากๆ เพราะ GROOVE RIDERS จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ในรอบ 17 ปี ทำไมปล่อยให้แฟนๆ คิดถึงกันยาวนานขนาดนั้นล่ะคะ

บุรินทร์ : พวกเราก็ยังงงกันอยู่เหมือนกันครับ ว่าทำไมมันถึงได้ห่างหายกันได้นานขนาดนี้ เราจัดคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายชื่อ Last call for GR007 เมื่อ 17 ปีที่แล้ว นั่นคือคอนเสิร์ตสุดท้ายที่เราเล่นกัน หลังจากนั้นเราต่างแยกย้ายกันไปทำงานกัน “พี่ก้อ” ไปออกอัลบั้มเดี่ยวคนแรก “พี่กั้ง” ออกอัลบั้มเดี่ยวคนที่ 2 ส่วนผมออกอัลบั้มเดี่ยวคนที่ 3 ต้องบอกว่าใจจริงเราไม่เคยคิดว่าวงจะแยกกันเลย แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร พวกเราเองยังคุยกันอยู่ว่า เออ… ทำไมอยู่ดีๆ วงเราถึงได้แยกกันทำงานกันหมดเลย ซึ่งอัลบั้มเดี่ยวของ “พี่ก้อ” ก็ยังมีพี่สองคนไปร่วมทำงานด้วย ชุดเดี่ยวของผม ก็มีพี่ๆ ร่วมงานกันหมด อัลบั้มของพี่กั้งผมก็ไปร้องให้เพลงนึงด้วย เพราะฉะนั้นเรายังทำงานกันอยู่ แต่ด้วยภาระหน้าที่ของแต่ละคนมีมากขึ้น ก็เลยไม่ค่อยได้เจอกัน ค่อยๆ เฟดไปเรื่อยๆ

จนเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ก่อนจะโควิด คือทาง GROOVE RIDERS สมาชิก 3 ท่านได้มาคุยกับผม ว่าจะชวนทำเพลงด้วยกัน หรือว่าจะมาทัวร์ด้วยกัน ซึ่งตอนนั้นผมกำลังจะ Launch อัลบั้มเดี่ยว กำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ของผมเองที่อิมแพ็คอารีน่าเหมือนกัน จังหวะของผมตอนนั้นยังไม่พร้อม ขอทำภารกิจเดี่ยวตรงนี้ให้เสร็จก่อน แล้วเดี๋ยวกลับมาคุยกัน ก็ห่างหายไป 4-5 ปี จนวันหนึ่งผมมีโอกาสได้กินข้าวกับ “พี่ก้อ” เราเลยคุยเรื่องนี้ขึ้นมา ปรากฏว่าก็ตกลงปลงใจที่จะทำด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง

การตัดสินใจทำโปรเจ็กต์ด้วยกันเกิดบนโต๊ะกินข้าวนั่นเอง
บุรินทร์
: ใช่ครับ ซึ่งกินข้าวกับพี่ก้อ 2 คนแค่นั่นเอง พี่กั้งกับพี่มาตรยังไม่มาด้วย กลายเป็นจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้ที่จะเกิดขึ้นในเดือนกรกฏาคมนี้นครับ คอนเสิร์ตใหญ่ Ultra V Presents GROOVE RIDERS RETURN OF THE GROOVE CONCERT

รู้สึกอย่างไรกับการกลับมาทำคอนเสิร์ตใหญ่ด้วยกันอีกครั้ง

บุรินทร์ : ผมตื่นเต้นมาก เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่เราไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่แค่พวกเราด้วยนะครับ สำหรับแฟนเพลงด้วย เพราะตัวทีเซอร์ที่ปล่อยไปอันแรก ซึ่งเป็นรูปถ่ายเรา 4 คน และเขียนข้อความ Groove Riders is back รูปนั้นคือสนั่นโซเชียลเลย คนจะแชร์ออร์แกนิกกันเต็มไปหมด เป็นการแชร์ออร์แกนิกของผมที่เยอะที่สุดของโซเชียลมีเดียของผมเลย คอมเมนต์เยอะมากๆ เป็น100 คอมเมนต์ ตัวเราเองก็ตื่นเต้น แฟนเพลงเราเองก็ตื่นเต้น ไม่คิดว่าโมเมนต์แบบนี้ จะเกิดขึ้นอีก

อ่านคอมเมนต์ไหนแล้วใจฟูที่สุด

บุรินทร์ : จริงๆ แทบจะทุกคอมเมนต์เลยครับ มีคนหนึ่งบอกว่าหนูร้องไห้เลยเนี่ย หนูร้องไห้อยู่ แล้วต้องพิมพ์มาหาพี่ๆ เลย ผมอ่านแล้วก็รู้สึกว่า ตัวเราเองก็ยังตื้นตันเลย เพราะแฟนเพลงที่เขาโตมากับเราเขาเฝ้ารอวันนี้อยู่

บางคนบอกว่ารอจนลูกโตแล้วค่ะตอนนี้
บุรินทร์ :
(หัวเราะ) เหรอครับ มีอันนั้นด้วยเหรอ คือที่อยากบอกว่ามันคือพรหมลิขิตล้วนๆ เลย ถ้าวันนั้นไม่ได้กินข้าวด้วยกันวันโปรเจ็กต์นี้ อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นก็ได้ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นอะไรที่พิเศษ เป็น Magic Moment ที่ผมคิดว่าเราอยากจะเล่นดนตรีในศักยภาพที่ดีที่สุด ในโปรดักชั่นที่ดีที่สุดให้กับแฟนเพลงของเราทุกคน เพื่อให้ได้ Magic Moment ร่วมกันในวันนั้น และจะเป็นความทรงจำไปตลอดกาล

ในยุคที่เปลี่ยนผ่าน เตรียมความพิเศษอะไรไว้ให้แฟนเพลงในแต่ละเจเนอเรชั่นบ้าง

บุรินทร์:  ความพิเศษของคอนเสิร์ตนี้ คือการที่เราได้มาเจอกัน มีคอมเมนต์เขียนมาว่า พี่คะ หนูขอแขกรับเชิญน้อยๆ แต่ขอฟังพี่ร้องเพลงเยอะๆ เพราะอยากฟังทุกเพลงของ GROOVE RIDERS เพราะฉะนั้นเพลย์ลิสต์ที่เราเตรียมเอาไว้คิดว่าน่าจะประมาณ 70% ผมว่าแทบจะทุกเพลงคุณต้องเคยได้ยินแน่ๆ เพราะเราเป็นวงดนตรีที่มีอัลบั้มไม่เยอะ ถึงวงดนตรีจะมีอายุ 25 ปี มันมีแค่ 24 เพลงเอง หรือ 25 เพลง ถ้าเทียบเป็นปีก็ปีละเพลง (หัวเราะ) แต่เป็นวงที่ยังเดินทางมาถึงยุคนี้ได้ คือมันยังขับเคลื่อนไม่พอ แถมหลังๆ เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตที่มีน้องๆ ผมเห็นว่าคนที่มาดูเด็กมาก ประมาณ 14-15-16 ปี ผมก็ถามน้องๆ ทันเพลงพวกเราด้วยเหรอ ซึ่งเขาก็ไปหาฟังได้ คงเป็นเรื่องความง่ายของการฟังเพลงในยุคนี้ ทุกคนมีแอปสตรีมมิ่งอยู่แล้ว

สมัยพวกเราเริ่มจากเทป เริ่มจากซีดี จนปัจจุบันสตรีมมิ่งเนี่ย ผมมองว่าเด็กเด็กรุ่นใหม่สามารถกลับไปถาม Archive สิ่งต่างๆ ของที่ทำไปแล้วได้ ไม่เหมือนพวกเราที่ต้องไปร้านเทป ไปร้าน Tower Record ไปร้านซีดี ไปร้านแผ่นเสียง และความสะดวกอีกอย่างหนึ่งคือ ทุกวันนี้เพลงไหนชอบ คุณสามารถกดใช้แอปกด และคุณก็รู้เลยว่ามันคือเพลงอะไร

แล้วพี่ก้อล่ะคะรู้สึกอย่างไรบ้างกับการกลับมาครั้งนี้ มีแฟนเพลงรอคอยอย่างเหนียวแน่นมากๆ
ก้อ
:  ตอนที่เราปล่อยทีเซอร์วันแรกฮะ ผมก็ยังจำได้เลยว่าวันนั้นรู้สึกตื่นเต้นมาก เอ๊ะ! ปล่อยไปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่พอกระแสออกมาถล่มทลายขนาดนี้ เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมาในช่วงตอน GROOVE RIDERS ปี 2000 – 2008 มั้งครับ ใช้เวลาประมาณ 8 ปีเท่านั้นเองในการออกอัลบั้ม 2 อัลบั้ม บวกอัลบั้ม Remix อีกหนึ่งอัลบั้ม ซึ่งก็ไม่ได้เยอะมากมายอะไร แต่ในช่วง 8 ปีนั้น เป็นช่วงที่เราทำผลงานที่มัน transcend เวลา คือ 25 ปีให้หลังแล้ว คนก็ยังฟังเพลงเหล่านั้นอยู่ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นโมเมนต์ที่มีค่านะ รู้สึกว่าการที่เรากลับมารวมกันได้อีกครั้งหนึ่งในรอบ 17 ปี เราอยากจะทำคอนเสิร์ตนี้ให้มันเป็นคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา และอยากจะตอบแทนแฟนเพลงทุกคนที่ยังรอเรามา 17 ปีนะครับ คอนเสิร์ตนี้จะเป็นคอนเสิร์ตที่เราตั้งใจมอบให้เป็นของขวัญชิ้นโบแดงให้กับแฟนเพลงของเราด้วย

มีโพสต์ถามนะครับว่าอยากฟังเพลงอะไรของ GROOVE RIDERS บ้าง โอ้โห คนลิสต์มาให้เกือบจะทุกเพลง ไม่มีเพลงไหนที่ไม่ถูก mention เลย

บุรินทร์: เรามีแค่ 25 เพลงใช่ไหมฮะ รวมโปรเจ็กต์ของผม ของพี่ก้อ ของพี่กั้ง ก็จะมีเพลงเพิ่มเข้า ตอนนี้เรามี song list อยู่ประมาณ 40 เพลง จริงๆ ความยาวของคอนเสิร์ต คงไม่สำคัญเท่ากับความสนุกทุกวินาทีของคอนเสิร์ต เพราะฉะนั้นเราอยากทำให้คอนเสิร์ตนี้เป็นคอนเสิร์ตที่สนุก มีความสุข มีน้ำตาด้วยกัน ซาบซึ้ง ทุกวินาทีมากกว่า

กั้ง: ก็ 25 ปีเลยครับ ตอนที่เราแยกห่างกันไป ทุกคนจะถามเสมอเลย เมื่อไรจะมีอีกที เสียดายจังเลย เพลงยังเพราะอยู่เลย ยังฟังกันอยู่เลย เพลงยังเดินทางของมันไปตลอด เดินทางแทบไม่หยุดเลย ไปร้านไหนผับไหนงานแต่ง งานนู่นงานนี่จะได้ยินเพลงของ GROOVE RIDERS อยู่ตลอด ผมเองก็หวังในใจนะครับว่า สักวันคงอาจจะมีวันนี้ และก็เกิดขึ้นจริงๆ ที่พวกเราได้มารวมตัวกัน ได้มาทำคอนเสิร์ตนี้ หวังว่าทุกคนจะมีความสุขแน่นอนครับ ในคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็คงเป็นอะไรที่ต้องทำให้ดีที่สุดต้องเป็นอะไรที่ดีที่สุดของทุกคน และของพวกเราด้วยครับ
มาตร : เป็นช่วงเวลาที่ดีนะครับ ที่พวกเรา 4 คนได้กลับมารวมตัวกันแล้วก็อยากที่จะบรรเลงดนตรีที่พวกเรารักทุกเพลงเพื่อให้ทุกคนมีความสุข และมีความสุขไปกับพวกเราด้วยครับ

บุรินทร์ : นอกจากความตั้งใจทำแล้ว คือพูดตรงๆ เลยว่ามันเป็นคอนเสิร์ตที่แพงที่สุดของเรา โปรดักชั่นดีที่สุดของเรา คือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของซาวนด์ เรื่อง visual สิ่งที่มองเห็นทั้งหมด เราตั้งใจทำให้ทุกอย่างซิงก์กับดนตรีของเราทั้งหมด

คอนเสิร์ตนี้แบ่งหน้าที่กันยังไงบ้างคะ

บุรินทร์ : ผมเป็น Creative Director ครับ
ก้อ : ผมทำหน้าที่ Music Director
บุรินทร์ : ผมร่วม Joint Venture กับคุณพิชัย จิราธิวัฒน์ แห่ง SPICYDISC นะครับ และพี่ก้อด้วย ต้องบอกว่าทำแทบทุกหน้าที่เลย คุยกับสปอนเซอร์เองด้วย ทำ song list คุยกับทีมงานโปรดักชั่น เราเลือกโปรดักชั่นเองทุกอย่าง เลือกทีมที่เป็นแถวหน้าของเอเชียมาร่วมงานกัน อ่านสปอตเองด้วย เล่นเองซ้อมเองเกือบทุกอย่างเลย ต้องขอบคุณที่ได้มาทำตรงนี้ เพราะเราก็ได้เข้าใจถึงการทำคอนเสิร์ตในรูปแบบจริงจัง ได้ลงทุกดีเทลด้วย ได้ความรู้เพิ่มด้วย ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยมาก แต่สนุกไหมสนุกมาก และก็มีความสุขมาก

ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า GROOVE RIDERS ยังเป็น God Father of Disco หนึ่งเดียวในเมืองไทยอยู่

 บุรินทร์ :  ตลอด 25 ปี เราเป็นวงเดียวที่คีปไดเร็กชั่นนี้ และไม่เคยเปลี่ยนนะครับ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็มีแค่พวกเราวงเดียวที่ยังตั้งใจทำอย่างไม่เคยเปลี่ยนใจนะครับ

คิดว่าเสน่ห์ของดนตรีดิสโก้ โซล ฟังก์คืออะไรคะ      

บุรินทร์ :  ผมฟังเพลงทุกแนวนะ ตั้งแต่หมอลำจนโอเปร่า ร็อกก็ชอบ แจซก็ชอบ ดนตรีบลูส์ก็ชอบ ป็อปก็ชอบ คือส่วนตัวถ้าถามผมว่าชอบดนตรีแนวไหน ผมชอบดนตรีแนวเพราะ เพลงที่เพราะแหละผมชอบ ส่วนแนวโซล ดิสโก้ ฟังก์ บลูส์กี้พวกนี้เป็นดนตรีที่ทำแล้วมีความสุข  และได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของจิตวิญญาณออกมากับบทเพลงสำหรับนักร้องต้องเป็นแนวดนตรีที่จะได้ถ่ายทอดตัวเองได้มากที่สุด คือต้องมีแนวโซล ฟังก์ ดิสโก้ และแจซ ที่จะรู้สึกว่าเราได้ใช้ศักยภาพของเราเต็มที่ หรือได้ใช้จิตวิญญาณ ศิลปะไม่ได้ใช้สมองคิด มันใช้จิตวิญญาณในการทำศิลปะขึ้นมา เพราะฉะนั้นบางทีต่อให้แฟชั่นมันมาแล้วมันก็ไป แต่สไตล์มันจะอยู่กับเราตลอด เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ GROOVE RIDERS ได้ยึดมั่นความเป็นสไตล์ของเราเพราะผมมองว่าศิลปะชิ้นหนึ่งมันข้ามกาลเวลาได้หมด มันไม่มีบอกว่าศิลปะอันนี้สำหรับเจนนี้ ศิลปะนี้สำหรับเจนนี้ เพลงนี้สำหรับเจนนี้ ผมว่าเพลงที่ดีมันจะอยู่คู่กับเราไปได้ตลอดกาล

ก้อ: เพลงดิสโก้ ฟังก์ ที่เราทำคือสิ่งหนึ่งที่เรามีความรู้สึกกับมันตลอด คือแนวเพลงนี้เวลาที่ได้ยิน หรือเวลาเล่น มันจะมีปฏิกิริยากับร่างกายของมนุษย์ตลอดเลย คือมันฟังอยู่นิ่งๆ มันต้องไปตามจังหวะ จะมีปฏิกิริยากับร่างกายของเรา
ฉะนั้นดนตรี GROOVE RIDERS เป็นดนตรีที่ถูกดีไซน์ขึ้นมาเพื่อที่จะสร้างปฏิกิริยากับร่างกายและจิตใจของคนฟัง เป็นสิ่งที่เราตั้งใจ และอยากจะทำให้มันเกิดขึ้นตั้งแต่แรก

กั้ง : มันคือทุกสิ่งทุกการเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นไม่ว่าเพลงช้า เพลงเร็ว เพลงช้าก็จะมีความหมายที่บาดลึก ลึกซึ้ง น้ำตาร่วง โหยหา ท้อแท้ หวั่นไหว ส่วนเพลงเร็วก็สนุก ฟังก์มันคือจังหวะที่เนื้อในด้านของทฤษฎี ต้องเป็นอะไรที่มันเข้ากัน ระหว่างเบส กลอง กีตาร์ กับเครื่องเป่า และเครื่องตี เครื่องสายต่างๆ มันจะกลมกลืนกันไปหมด ซึ่งต้องมีการดีไซน์เป็นอันดับแรกก่อน มันคือเสน่ห์ เวลาเล่นอยู่บนเวทีแล้วจะรู้สึกสนุกมาก

มาตร : เป็นดนตรีที่กลมเกลียวกันครับ แม้แต่เพลงเร็วก็จังหวถมีที่ชัดเจนที่เราจะขยับตามท่วงท่า แม้แต่จังหวะมีเดียมอย่างเพลง “หยุด” ก็โยกไปตามบีต เพลงซึ้งเพลง “รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป” ก็ต้องให้น้ำตามันไหลออกมาเลยครับ

บุรินทร์ : เราเป็นวงที่มีเพลงจังหวะกลางเยอะ เป็นเพลงดังที่สุดของเราด้วย ไม่ว่าจะเป็น “หยุด” “เธอทั้งนั้น” “แค่เธอก็พอ” คือ 3 เพลงจังหวะกลางจนถึงทุกวันนี้ก็ยังทำงานอยู่ เป็นเพลงที่เราพูดถึงความรักในแง่อบอุ่น ซึ่งจะอยู่ในงานแต่งงานเยอะมาก ทุกงานแต่งงาน ทุกครั้งที่ผมเจอคนที่มีความรัก ก็จะขอ 3 เพลงนี้ไม่เคยพลาด

 

รู้สึกอย่างไรที่เพลงของ GROOVE RIDERS อยู่ในช่วงสำคัญในชีวิตของแฟนเพลงหลายๆ ช่วงชีวิ่ต ไม่ว่าจะช่วงจีบกัน แต่งงานกัน หรือแม้แต่ตอนอกหัก

บุรินทร์ : อยากบอกว่าเพลงอกหักอยู่ในชีวิตเพื่อนผมเยอะมาก อย่าง “รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป” ผมยังจำภาพนั้นได้อยู่เลยว่า มีเพื่อนของผมคนหนึ่ง ปัจจุบันนี้มีครอบครัวและมีลูกแล้วนะ ตอนนั้นเขาโดนผู้หญิงทิ้งแล้วมานั่งดูคอนเสิร์ตผม เพื่อนผมคนนั้นพอฟังเพลงนี้ปุ๊บ เขาก็น้ำตาไหล แต่เขาอยู่ไกลนะและก็อยู่กับเพื่อนๆ บอกกันว่าทำไมเพลงมันโดนขนาดนี้ พอผมลงมาจากเวที ทุกคนก็ล้อเขาหมดเลยว่าเมื่อกี้นั่งร้องไห้อยู่นะ ซึ่งปกติเพื่อนผมคนนี้เขาเป็นแนวเก๋า เฟี้ยวๆ

หรือแม้แต่งานอื่นๆ บางครั้งผมร้องเพลงอยู่บนเวที จะงานเล็กหรืองานใหญ่ หรือเป็น festival ต่างๆ เวลาร้อง “รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป” หรือ “รักไม่ได้” ผมมักจะเห็นคนยืนร้องไห้อยู่ อยากบอกว่าเวลาเห็นภาพนั้น เรารู้สึกเจ็บปวดแทนเขานะ เพราะทุกครั้งที่ร้องเพลงหรือสื่อสารด้วยดนตรีออกมาบนเวทีมันออกจากจิตวิญญาณตัวเองทั้งนั้น คือเราจะไม่สามารถสื่อสารได้ถ้าเราไม่รู้สึกออกมาจากใจเราเอง เวลาเห็นว่าเพลงมันไปเอฟเฟ็กต์ขนาดนั้น เราก็เสียใจแทนเขา และเราก็รู้สึกอื้อหือ.. จุกๆ เหมือนกัน

ต้องปลอบด้วยไหมคะ

บุรินทร์ : มีนะ ปลอบกันไปเยอะเลย มีลงเวทีไปกอดเลยครับ บางทีถ้าเวทีอยู่ที่สูง เราลงไปไม่ได้ ก็จะไม่ได้ลงไปปลอบ แต่สุดท้ายเขาก็จะแฮปปี้ด้วยเพลง “หยุด” ของเรา และเพลงเร็วของเราที่ปิดโชว์

อยากรู้ว่าพี่บุรินทร์ทำอย่างไรให้ยังร้องเพลงของตัวเองได้ซ้ำๆ ทุกวัน ได้แบบมีเอเนอร์จี้
บุรินทร์ :
คือแฟนเพลงเลยครับ เพราะแฟนเพลงเท่านั้นเลยที่ทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม คือต่อให้เราเล่นเพลงเดิม แต่ผมก็ไม่ได้เล่นเหมือนเดิม เพราะนักดนตรีเราจังหวะนั้นมันอาจจะเร็วขึ้น ช้าลง วิธีการโซโล่ก็ไม่เหมือนเดิม วิธีการร้องของผม phasing ของการปล่อยเสียงของท่อนต่างๆ ที่จะปรับว่าเราควรจะร้องช้า ร้องเร็ว มันก็ไม่เคยเหมือนเดิม สิ่งสำคัญที่สุด ตัวแปรสำคัญที่สุด อยู่ที่แฟนเพลงครับ แฟนเพลงทำให้เราไม่เคยเบื่อเพลงของเรา ต่อให้ร้องมาแล้วเป็น 10,000 รอบอย่างเพลง “หยุด” หรือ “เธอทั้งนั้น” ก็ร้องมาหลายครั้งมากมาย “รักไม่ได้” ก็ร้องมาเยอะแยะมากมาย เพลง “เกือบ” ในอัลบั้มโซโล่ของผมเองก็ร้องบ่อย ทุกอย่างอยู่ที่แฟนเพลง อยู่ที่ input ที่ให้ผมมา เวลาแฟนเพลงให้พลังมา ถ้าคุณยืนอยู่บนเวที คุณเป็นคนที่รับโดยตรงจากคนดู โอ้โห… มันมหาศาลมากๆ ในการที่ทำให้เรา perform ต่อไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ก้อ : ในแง่ของคนแต่งเพลง เราตั้งใจทำเพลงออกมาจากความรู้สึกเราอยู่แล้ว เพลง “รักไม่ได้” มันเป็นเพลงที่ผมแต่งมาจากความรู้สึกส่วนตัวของผมมากๆ  จำได้เลยว่าทุกครั้งที่เราไปทัวร์นะ พอเล่นเพลง “รักไม่ได้” ปุ๊บ ต้องเห็นอย่างน้อยหนึ่งโต๊ะที่มีคนร้องไห้ แต่บางทีมี 3 โต๊ะ โต๊ะนั้นร้อง โต๊ะนี้ก็ร้อง มุมโน้นยังร้องอยู่

มาตร : เพราะเรามีเพลงที่ดีครับ ผมว่าเพลงหลายๆ เพลงก็เป็นเพลงชาติงานแต่งงานที่เราเห็นกันอยู่ว่า ทุกงานแต่งงานจะต้องเล่นอะไร เราก็ภูมิใจที่เพลงของพวกเราได้ไปอยู่ในหูของผู้ฟัง และผู้ฟังตอบรับกลับมาให้พวกเราด้วยครับ
กั้ง : ก็เห็นบ่อยถึงแม้เราเล่นอยู่ก็เห็นคนร้องไห้กับเพลงนี้บ้าง ก็นึกในใจ ชีวิตก็เป็นอย่างนี้นะน้องนะ รสชาติของชีวิตนะ ดำเนินชีวิตต่อไปนะครับ รักไม่ได้ก็ไม่ต้องรักครับ

บุรินทร์ : จริงๆ มันไม่ใช่แค่เพลงเศร้าอย่างเดียว “หยุด” คือผมมั่นใจเลยว่า เป็นเพลงที่ถูกเปิดในงานแต่งงานเยอะที่สุด เป็นเพลงที่ผู้ชายขอผู้หญิงแต่งงานมากที่สุด เพราะมักจะมีคนเดินมาบอกผมว่า พี่ครับผมใช้เพลงนี้ขอเมียแต่งงาน ผมใช้เพลงนี้ขอแฟนแต่งงาน เพลงพี่อยู่ในชีวิตผมตอนนี้ เพลง “รักไม่ได้” อยู่ในชีวิตผม ตอนผมอยู่มหา’ลัยผมฟัง “รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป” ครับ

คือเรารู้สึกดีใจมากๆ ที่เพลงเราอยู่ในช่วงชีวิตของพวกเขา และเพลงเราโตมาด้วยกันในวันนี้ มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าในครั้งนี้ที่กลับมารวมกันอีกครั้ง เราไม่สามารถทำให้เขาไม่มีความสุข ทุกวินาทีต้องมีแต่ของดีให้ ต้องเป็นสิ่งที่ทำสุดฝีมือ

เชื่อว่าจะมีแฟนเพลงพาลูกมาดูคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วยค่ะ

บุรินทร์ : มีแน่ครับ เพราะว่าปัจจุบันนี้ก็มีครับ (หัวเราะ)

เห็นแฟนเพลงโตมาด้วยกันแบบนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง

บุรินทร์ : ดีมากเลย รู้สึกดีมากเลยครับ เพราะคนที่โตมาด้วยกัน ได้เห็นพัฒนาการของแต่ละคนด้วย รู้สึกชื่นใจว่า เฮ้ย วันนี้เขาก็มีชีวิตที่ดี เขามีครอบครัวที่ดี บางคนนานๆ มาเจอกันที ผมดีใจมาก ล่าสุดเพิ่งได้เจอกับน้องคนนึง เขาแต่งงานและย้ายไปอยู่ที่เยอรมัน จะบินกลับมา 2-3 ปีครั้งหนึ่ง มิชชั่นของเขาคือมาดูผมร้องเพลง เขาจะบินมาอย่างนี้ทุกครั้ง และจะมีของฝากมาให้ ตอนนี้ผมว่าเขาแพลนซื้อตั๋วที่จะบินกลับจากเยอรมันเพื่อมาคอนเสิร์ตใหญ่ มีแฟนๆ หลายคนจากอเมริกาก็จะบินกลับมา หลายคนอยู่อังกฤษก็จะบินกลับมา รู้แบบนี้แล้วชื่นใจครับที่ได้เจอกับแฟนเพลงที่โตมาด้วยกัน ฟีลเหมือนเพื่อนเก่าที่จากกันไปนาน 10 ปี พอเจอกันแล้วมันชื่นใจมาก

ยังคงจำแฟนๆ ได้เสมอ

บุรินทร์ : ผมจำแฟนเพลงได้เยอะมากครับ มีน้องๆ กลุ่มฮาร์ดคอร์ที่มาตามดูตลอด ดูเยอะมากจนผมถามว่าน้องไม่เบื่อเหรอเขาบอกไม่เบื่อ ดีใจที่ได้มาเจอ สำหรับเราเขาไม่ใช่ Groupie แต่เขาเป็นเหมือนครอบครัวเราไปแล้ว

ก้อ:  เมื่อก่อนจะเรียก Groupie แต่เดี๋ยวนี้จะเรียกว่า แฟนด้อม ซึ่งแฟนเพลงของพวกเราตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ยังรู้จักยังติดต่อกันอยู่นะครับ คือเป็นเหมือนกับพี่น้องกันแล้ว หลายคนมากนะเกิน 10 คน หลายคนบางทีเราต้องยังนัดกินข้าวกัน เจอกันอยู่
บุรินทร์ : ภรรยาคุณรู้ไหมคุณไปกินข้าวกับแฟนเพลง
ก้อ : ภรรยาผมไปด้วย

บุรินทร์ : ภรรยาผมไปก็ด้วยครับ
ก้อ : เราเจอกันตลอด มีความผูกพันกันมาก จนกลายเป็นเหมือนพี่น้องเป็นเพื่อนกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
บุรินทร์ : แม้แต่ภรรยาเราเอง เขาก็รักแฟนเพลงเราเหมือนกัน เพราะเขาน่ารัก และมีแต่ความรักความหวังดีให้เรา ส่วนเราก็มีแต่ความรักความหวังดีตอบแทนกลับให้เค้า

แฟนคลับที่รักศิลปินมากๆ มักจะนำชื่อศิลปินไปตั้งชื่อลูก มีกันบ้างหรือไหมคะ

บุรินทร์ : โอ้โห… มีหลายคนเลยครับ ล่าสุดมีคนหนึ่งส่งมา ตอนแรกส่งรูปแขนเขามาก่อน เขียนว่าบุรินทร์ แล้วผมก็มองไปเป็นแขนผู้ชาย ผมก็ตกใจนะ เขาก็ส่ง DM มาหาผม ผมถามว่าสักชื่อผมเลยเหรอครับ เขาตอบว่าไม่ใช่แค่สักชื่อพี่นะ ผมตั้งชื่อลูกผมว่า “บุรินทร์” เลยครับพี่  มีหลายคนที่จะตั้งชื่อลูกว่าบุรินทร์ ซึ่งผมว่าในเจนผม หาคนที่ชื่อเหมือนผมมีน้อยมาก คนชื่อบุรินทร์ในรุ่นเดียวกันหายากมากครับ รุ่นหลังๆ ก็ไม่ค่อยมีคนชื่อบุรินทร์ ส่วนใหญ่ชื่อว่าบดินทร์ซะเยอะ คือผมว่าก็น่ารักมากนะครับ ได้ยินและได้เห็นแล้วก็โอ้โห… เลย ตอนแรกก็เริ่มกลัว เฮ้ย! มีผู้ชายสักชื่อเรา พอบอกเป็นชื่อลูกผมด้วยครับก็โอเคนะ เป็นอะไรที่น่ารักดี

พี่ๆ ทั้ง 4 คนมองวงการเพลงตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เพราะว่าเราก็อยู่ในช่วงที่เปลี่ยนผ่านมาหลายรูปแบบ หลายเจเนอเรชั่น
บุรินทร์ :
ผมว่ามันเป็นธรรมชาติของทุกวงการแหละ ทุกอย่างมันมีการ evolve ไม่ว่าจะเป็นวงการดนตรีที่เปลี่ยนจากแผ่นเสียงมาเป็นเทป เทปมาเป็นซีดี เดี๋ยวนี้ฮาร์ดก็อปปี้ไม่มีใครเก็บแล้ว มือถืออันเดียวทำได้ทุกอย่าง ถ่ายรูป เก็บเพลงได้เป็นล้านๆ เลย ส่วนพวกผมยังนั่งเก็บฮาร์ดก๊อปปี้จนไม่มีที่จะเดินแล้ว (หัวเราะ)

ก้อ : สำหรับประเทศไทยนี่เป็นยุคทองของเพลงไทย ศิลปินไทยปัจจุบันนี้มีหลากหลายมากเลย ด้วยเทคโนโลยีเขาสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้ง่ายขึ้น ง่ายกว่าสมัยผมมากเลย สมัยผมกว่าจะไปเรียนรู้วิธีการแต่งเพลงหรือวิธีการเล่นดนตรี ใช้เวลานานมาก แต่ทุกอย่างตอนนี้มันอยู่ในแพลตฟอร์ม วิดีโอ หรือ YouTube หมดแล้ว มันก็ทำให้เจนใหม่ คนรุ่นใหม่เก่งขึ้นมากครับ และเท่าที่เรามีโอกาสได้ฟังเพลงใหม่ๆ ก็มีศิลปินดีๆ เกิดขึ้นเยอะมาก ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องดีของวงการเพลงไทย แต่ที่สำคัญคือ อยากให้แฟนเพลงของศิลปินต่างๆ มีโอกาสสนับสนุนเขาด้วย หมายความว่าเวลาฟัง ถ้ารักเพลงเขาจริงๆ รักตัวศิลปินจริงๆ ก็ช่วยอุดหนุน ช่วยสมัครแพลตฟอร์มให้ถูกต้อง ดาวน์โหลดแบบถูกต้อง สมัครสตรีมมิ่งแบบถูกต้อง จะทำให้วงการเพลงไทยไปได้อีกไกล ทำให้ศิลปินแต่ละคนมีรายได้ที่ถูกต้องและยั่งยืนด้วย

มาตร : ผลงานที่ดีนะครับ ดนตรีที่ดี เนื้อหาที่ดี เมื่อมันเดินทางออกไปแล้ว วันหนึ่งมันจะต้องกลับมาหาเราอย่างภาคภูมิใจครับผม

กั้ง :  อย่างผมเปิดซ้อมดนตรี ผมเห็นเด็กๆ ที่มาซ้อมที่ห้องผม โห… เก่งๆ ทั้งนั้นเลยครับ อย่างนึงก็คือเรื่องของเทคโนโลยีด้วยแหละครับ อย่างที่ก้อบอก คือช่องทางในการเรียนรู้เยอะมาก และง่ายขึ้นในการที่จะศึกษาเรื่องดนตรี หรือการเล่นกีตาร์ การเล่นเบส การเล่นกลอง หรือศึกษาเรื่องการร้องเพลง จะมีช่องทางในการไปดู ไปเห็นของจริงว่าของจริงเขาเล่นยังไง เขาทำยังไงกัน ทำให้เรื่องของการพัฒนาด้านการทำงานของน้องๆ เก่งมากครับ ชื่นชมครับ

นอกจากคอนเสิร์ตใหญ่ แฟนๆ คาดหวังกับเพลงใหม่ของ GROOVE RIDERS จะเป็นไปได้ไหม

ก้อ : สารภาพตามตรงว่า จริงๆ ตอนนี้เราคอมมิตกันว่าเราจะทำคอนเสิร์ตให้ดีที่สุดก่อน หลังจากนั้นเดี๋ยวค่อยว่ากัน ถามว่ามีความเป็นไปได้ไหม คงจะมีความเป็นไปได้ครับ เพียงแต่ว่าตอนนี้เราอยากจะเดินทีละก้าว เติมทีละก้าว แต่ว่าทำให้ก้าวนี้มั่นคง และเป็นก้าวที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้นก้าวแรกของเราในการกลับมารวมกันคือการทำคอนเสิร์ตให้ดีที่สุดก่อน ก้าวต่อไปจะมีไหม จะเดินไปทางไหนยังไง เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนึง

มีอะไรอยากจะบอกแฟน ๆ ที่รัก GROOVE RIDERS มาตลอด 20 กว่าปี

บุรินทร์ : ขอบพระคุณทุกความรัก ทุกหัวใจที่มอบให้กับพวกเราทั้ง 4 คนตลอดมาครับ ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน มิตรภาพที่เรามีให้กันก็ยังเหมือนเดิม ขอบคุณน้องๆ ที่มาดูตั้งแต่เป็นเด็กมัธยม ปัจจุบันก็โตขึ้นแล้ว ขอบคุณน้องๆ ที่เพิ่งเคยมาฟังเพลงของเรา โดยการแนะนำจากผู้ใหญ่ หรือว่าน้องอาจจะไปค้นหามาเอง ก็เลยอยากจะบอกว่า 17 ปีแล้วที่ไม่มีโมเมนต์แบบนี้ ครั้งนี้มันกลับมาแล้วครับ ในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้นะครับ ที่อิมแพ็ค อารีน่า “Ultra V present GROOVE RIDERS RETURN OF THE GROOVE CONCERT” นะครับ คือคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดจากพวกเรา พลาดครั้งนี้อาจจะไม่ได้ดูอีกแล้ว ก็จองบัตรได้แล้ว หวังว่าจะได้เจอกันที่ ที่อิมแพ็ค อารีน่า ครับผม