เจาะเบื้องลึกเส้นทางดนตรีของ Jasp.er 4 หนุ่มบอยกรุ๊ปที่ไม่เคยหมดแพสชั่น

account_circle
event

หนุ่มบอยกรุ๊ปน้องใหม่แต่ฝีมือไม่ธรรมดา JASP.ER ที่ประกอบไปด้วย 4 สมาชิก “จุง - อาเชน, อู๋ - ธนบูรณ์, แซนต้า - พงศภัค และปอนด์ - ณราวิชญ์” นอกจากพูดคุยกันเรื่องเพลงแล้ว ยังได้แชร์ประสบการณ์ก่อนเดบิวต์เป็นศิลปินที่ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน งานนี้บอกได้เลยว่ากว่าที่ความฝันในการเป็นศิลปินจะเกิดขึ้นจริงนั้นไม่ง่ายเลย ทุกคนผ่านการต่อสู้ ฝึกฝน อดทน และรอคอย แต่การที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเองและแพสชั่นในการเป็นศิลปินที่ไม่เคยหมดไปจากความตั้งใจ ทำให้ความฝันในการเป็นศิลปินเกิดขึ้นจริงในนามบอยกรุ๊ป JASP.ER

เจาะเบื้องลึกเส้นทางดนตรีของ Jasp.er 4 หนุ่มบอยกรุ๊ปที่ไม่เคยหมดแพสชั่น

 

แนะนำตัวเองกับแฟนสุดสัปดาห์กันก่อน

จุง: สวัสดีครับ จุง - JASP.ER ครับ

อู๋: สวัสดีครับ อู๋ - JASP.ER ครับ

แซนต้า: สวัสดีครับ แซนต้า - JASP.ER ครับ

ปอนด์: สวัสดีครับ ปอนด์ - JASP.ER ครับ

 

ในฐานะศิลปินตอนนี้มีนามสกุลเป็นJASP.ER แล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างคะ

ปอนด์: โอ๊ย…เขินเลยครับ เพราะปกติจะเป็นแบบปอนด์ - ณราวิชญ์ครับ จุง - อาเชนครับ คือมันตื้นตันใจแบบบอกไม่ถูกมาก ๆ เพราะเป็นสิ่งที่พวกเราตั้งใจกันมานานครับ

แซนต้า: ต้องบอกว่ามันเป็นความฝันของพวกเราทั้ง 4 คนเลยครับ พวกเรารู้สึกว่าบรรลุแล้ว แต่ยังไปได้อีกครับ ไปได้สุดกว่านี้

อู๋: ตื่นเต้นมาก ๆ เลยครับ บอกน้อง ๆ ทุกคนเลยว่าตื่นเต้นมาก รอโอกาสนี้นานมาก ๆ ในที่สุดก็มาถึงสักทีครับ พวกเราจะทำให้เต็มที่

จุง: ก่อนหน้านี้เคยเห็นใน YouTube วงอื่นเขาแนะนำตัวกันว่าสวัสดีครับ…ต่อด้วยชื่อวง มีนามสกุลกันใช่มั้ยครับ พอพวกเราได้มีนามสกุลของตัวเอง ก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกัน แต่เป็นความแปลกที่ดีครับ เขิน ๆ หน่อย เวลาไปตึกก็จะมีคนทัก เฮ้ย! จุง - JASP.ER เข้าตึกอะไรอย่างนี้ เฮ้ย! นี่ปอนด์ - JASP.ER!

 

ได้เดบิวต์เป็นศิลปินเต็มตัววันแรกที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการปล่อยMV เพลงแรงอีกนิด(SADISTIC)” รู้สึกอย่างไร

ปอนด์: ย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนที่เริ่มสปอยล์ทีละตัวอักษร ตื่นเต้นมาก เพราะเราไม่รู้ว่ากระแสจะออกมาเป็นยังไงหรือจะชอบกันมั้ย เพราะพวกเราทำงานในฐานะนักแสดงมาก่อน พอมาเป็นศิลปินเลยตื่นเต้นมาก ๆ แต่พอปล่อยออกมาครบทุกคนแล้ว ได้กระแสตอบรับจากแฟน ๆ ที่ดีมาก บวกกับตัว MV ที่กระแสตอบรับดีมากเหมือนกัน ขอบคุณทุกคนมาก ๆ

 

จุดเริ่มต้นของJASP.ER! มารวมตัวกันได้อย่างไร

อู๋: พี่ถา - สถาพร (ผู้บริหาร GMMTV) เลือกน้อง ๆ มาก่อน ตอนแรกเป็นปอนด์กับจุง

แซนต้า: 2 คนนี้เต้นกันบ่อย

จุง: เรารู้จักกันมาก่อน เป็นเพื่อนกันมาก่อน มีโอกาสได้ไปเต้นด้วยกัน ปอนด์ก็เคยเต้นกับแซนต้า ผมเองก็เคยเต้นกับแซนต้า เราเคยเล็งน้องแซนต้าไว้ก่อนหน้านี้อยู่แล้วว่าอยากได้คนนี้เข้ามาอยู่ ตอนนั้นคุยกับปอนด์ว่าถ้ามีแซนต้าด้วยน่าจะดีเนอะ เป็น 3 คน และน้องแซนต้าก็เข้ามาในค่ายพอดีครับจากนั้นพอมี WE ARE FOREVER FANCON เลยทำให้พี่อู๋เฉิดฉาย เรียกว่า
ความเฉิดฉายกระแทกตา (หัวเราะ)

ปอนด์: พี่ถาก็ถามว่า ปอนด์ เอาไงดีคนนี้ ผมบอกคนนี้เลยครับ จะได้ครบ 4 คน เพอร์เฟ็กต์เลย

จุง: โปรเจ็กต์นี้ขึ้นไว้มานานแล้วครับ เหมือนปากต่อปาก

ปอนด์: ตั้งใจทำมานานแล้ว แต่หาความลงตัวอยู่

 

พอมาเจอกัน4 คนก็คือไม่จำเป็นจะต้องละลายพฤติกรรม

อู๋: แทบไม่ต้องเลยครับ ด้วยความที่รู้จักกันอยู่แล้ว เคยเล่นซีรีส์ด้วยกัน เป็นพี่น้องในค่ายเดียวกัน ไม่ต้องทำความรู้จักหรือละลายพฤติกรรมอะไรมาก

จุง: แต่ก็จะมีบางมุมที่เรียนรู้กันอยู่เรื่อย ๆ ครับ

อู๋: มีบางมุมที่การทำงานแบบนี้ต้องเรียนรู้ด้วยกัน เรายังไม่เคยทำงานร่วมกันในเวย์ศิลปินมาก่อน

จุง: เป็นเพื่อนก็อีกแบบ ทำงานด้วยกันก็อีกแบบ

ปอนด์: แต่เราจะพยายามเบสในความเป็นเพื่อน รู้สึกว่าถ้าเราทรีตกันด้วยความเป็นเพื่อน ช่วยเหลือกัน ทุกอย่างจะง่าย

แซนต้า: เราคุยนะ และช่วยกันหาตรงกลาง

จุง: ทำงานกับเพื่อนคือสนุกมากครับ มีความสุขมาก

 

ทุกคนต่างมีความฝันในการเป็นศิลปิน อยากรู้ว่าแพสชั่นนี้เกิดขึ้นได้ยังไง มีใครเป็นแรงบันดาลใจในด้านนี้

ปอนด์: ผมตื่นเต้นที่จะพูดเรื่องนี้ เพราะผมไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อนเลย ตั้งแต่อยู่วงการบันเทิงมาประมาณ 5 ปี ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ที่ไหนเลย ที่นี่เป็นที่แรกในฐานะที่ได้เดบิวต์เป็นศิลปินกับเพื่อน ๆ เป็นการเล่าสู่กันฟังในเรื่องความฝันของพวกเรา ย้อนไปเมื่อประมาณ 6 ปี ตั้งแต่ยังไม่เข้าวงการ ประมาณปี 2018 - 2019 ความตั้งใจเริ่มขึ้นแต่ไม่กล้าบอกใคร กลัวจะถูกมองว่าตลกหรือเปล่า สิ่งนี้เป็นแพสชั่นในใจที่ผมพยายามทำ

ด้วยการเป็นศิลปินต้องฝึกฝนและมีสกิล ตอนนั้นผมหาทุนเรียนเอง เลยไปทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านกาแฟ ทำทุกวันในช่วงปิดเทอมจะขึ้นปี 1 จนเก็บเงินได้ประมาณหนึ่ง หลัง 6 โมงไปเรียนเต้นทุกเย็น ทำอยู่ประมาณ 2 - 3 เดือน ต้องบอกว่าค่าใช้จ่ายในการเรียนเยอะครับ ไหนจะเรียนเต้น เรียนร้อง ไม่ได้เรียนแค่ 2 - 3 วันแล้วเก่ง เราเรียนเต้น 2 เดือนยังไม่มากพอสำหรับการไปออดิชั่น ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ผมคิดเสมอว่าสักวันหนึ่งจะต้องประสบความสำเร็จ

พอฝึกมาเรื่อย ๆ เราเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งเรียนหนักมาก ไม่ได้มีโอกาสไปเรียนเต้นขนาดนั้น พอมีการเปิดออดิชั่นที่หนึ่งก็ลองไปดูครับ ตอนนั้นปี 2019 ก็ยังไม่ได้บอกตามตรงว่าเฟลมาก เสียใจมาก ในหนึ่งปีที่ผ่านมาคือรอวันนี้ ก็คิดว่าไว้ลองใหม่ ครั้งนี้เราอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำเต็มที่ จนมาถึงจุดหนึ่ง ลองส่งคลิปออดิชั่นไปที่หนึ่งแล้วเขาติดต่อกลับมา ผมดีใจมากที่สุดในชีวิตเลย เหมือนทุกอย่างจะดี เกือบจะได้แล้ว แต่เกิดจากสถานการณ์บางอย่างที่ไม่สามารถไปต่อได้ เขาบอกว่าสถานการณ์ยังไม่ดีนะ เดี๋ยวรอให้ทุกอย่างมันโอเคจะติดต่อกลับมาใหม่

จำได้ว่าตอนนั้นเสียใจมาก ๆ ผมร้องไห้เลยครับ เพราะตอนนั้น process ค่อนข้างจะไปไกลมาก ๆ แต่เขาทิ้งท้ายมาแค่ว่าเนื่องจากสถานการณ์ ณ ตอนนี้ยังไม่สามารถพิจารณาการออดิชั่นได้ ไว้จะติดต่อกลับมาใหม่ในวันที่สถานการณ์ดีขึ้น เหตุการณ์นี้
ทำให้ผมเต้นไม่ได้เลยครับ เป็น 1 ปีที่ผมไม่เต้นเลย มันเป็นแผลในใจครับ ทำให้ในช่วงหนึ่งปีที่ไม่เต้นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้วผมจะเสียใจมาก ผมไม่สามารถเต้นได้จริง ๆ ไม่เสพงานด้านนี้เลย ผมหายจากวงการเต้น หายไปจากเพื่อนที่เต้นด้วยกันไปเลยเป็นปี เราพยายามกับสิ่งนี้มา 3 ปี ไม่เคยทิ้งมันเลย พอไม่ได้เลยเสียใจมาก ๆ เพื่อนชวนเต้นก็บอกว่าไม่ว่าง

ผ่านมาปีหนึ่งมีคนโทร.มาหาแล้วบอกเราว่าจำได้มั้ยที่เคยบอกว่าจะติดต่อกลับมา แล้วเขาติดต่อกลับมาจริง ๆ ครับ ผมช็อกเลย มามองย้อนกลับไปใน 1 ปีที่ผ่านมา เราไม่น่าหยุดเต้นเลย ถ้าเราไม่หยุด สกิลทุกอย่างของเราจะพร้อม ด้วยความที่เราหยุด ทุกอย่างหายหมด แทบต้องเริ่มใหม่ในการเต้น เริ่มใหม่ในการร้องเพลง สกิลลดลงจนถึงขั้นเครียด แล้วเขาบอกว่าอีก 2 อาทิตย์เจอกันนะ ในใจคิดว่าแย่แล้ว
ร่างกายเราค่อนข้างโอเวอร์โหลด เรียนด้วยทำงานด้วยจนภูมิตก ตอนนั้นคิดว่าครั้งเดียวในชีวิต เราไม่รู้ว่าตอนนั้นปลายทางจะเป็นยังไงนะ อย่างน้อยอยากทำให้มันเต็มที่ ต่อให้เรียนเต้นหนักให้ตายไปข้างก็ยอม พอถึงเวลาทุกอย่างโอเคมาก ๆ ในสถานการณ์ตอนนั้นทุกอย่างเพอร์เฟ็กต์ พอเวลาผ่านไปเขาก็ติดต่อกลับมา บอกว่าอยากเจอเราอีกรอบ อยากจะให้เราได้แสดงความสามารถให้เขาดูอีกครั้งได้มั้ย

พอไปแล้วทุกอย่างดีนะ ก็เหมือนจะได้นะ แต่สุดท้ายเขาบอกว่าติดเรื่องอายุครับ เวลาผ่านไปอายุเราเพิ่มตาม สุดท้ายที่เราไม่ได้ในวันนั้นเราเสียใจแหละ แต่มาคิดได้ว่าเราเติบโตขึ้น เราทำเต็มที่แล้ว เราจะไม่ยึดติดกับสิ่งที่เราเคยเสียใจ ถ้าเสียใจอีก แล้วเราหยุดอีก เราจะไปต่อไม่ได้ เราจะไม่เดินมาถึงจุดนี้ ผมอยากบอกทุกคนว่าเมื่อตั้งใจทำอะไร ถ้าไม่ได้ในครั้งแรกหรือเกิดข้อผิดพลาด อย่าเพิ่งเสียใจและอย่าเพิ่งโทษตัวเอง โทษสิ่งรอบข้าง ขอให้ลองทำใหม่ พยายามใหม่ วันนั้นไม่ได้ แต่อาจจะมีสิ่งอื่นที่ดีรอเราอยู่ ถ้าวันนั้นผมไม่หยุด ผมอาจจะได้รับมันแล้วก็ได้ เล่ายาวมาก คือเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย

เมื่อกี้มีคำถามว่าศิลปินที่เราชอบคือใคร ผมชอบ NCT ครับ เป็นอินสไปเรชั่นบางอย่างที่รู้สึกว่าอยากเท่ อยากเก่งเหมือนพวกเขา

 

แซนต้าล่ะคะผ่านประสบการณ์ความผิดหวังอะไรมาบ้าง

แซนต้า: ตอนนั้นยังไม่เข้าวงการเลยครับ อายุ 16 ปี เริ่มสัมผัสกับ K-Pop รู้สึกว่ามีเสน่ห์ดี ทั้งการเต้น การร้อง การเพอร์ฟอร์มบนเวทีดูเท่จัง เราอยากไปอยู่จุดนั้นบ้าง ช่วงนั้นสิ่งนี้ทำให้เรามีกำลังใจในการใช้ชีวิตเลยก็ว่าได้ ผมดูแต่สิ่งนี้ ผมซ้อมกับสิ่งนี้ ซ้อมเองฝึกเอง แต่ไม่เคยเรียน พอก้าวเข้ามาอยู่ในวงการก็ยังไม่ได้มาสัมผัสการเป็นศิลปิน เข้ามาเป็นนักแสดงก่อน แต่ในใจรู้สึกตลอดว่าอยากเป็นศิลปิน 2 ปีที่แล้วมีการเปิดออดิชั่นให้เข้าไปในรายการเซอร์ไววัลเกาหลี เราก็ไปจนได้ เข้าไปในรายการ เป็นสิ่งหนึ่งที่เรากดดันมาก ๆ เพราะไม่เคยเรียนร้องเรียนเต้นจริง ๆ จัง ๆ ต้องแข่งกับคนเก่ง ๆ ที่เรียนกันมาตั้งแต่เด็ก ช่วงนั้นผมทุ่มเททุกวินาที
ไปกับการเต้นการร้องเลย แทบไม่กินข้าว เวลากินข้าวคือการเต้นการซ้อม กดดันตัวเองมาก ๆ ครับ

พอไปเข้ารายการก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมาก ทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ได้เรียนรู้การเอาตัวรอด เพราะพูดภาษาเกาหลีไม่ได้ ได้แค่ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ ผมทั้งกดดันทั้งเครียด แล้วเราอ่อนประสบการณ์ด้านการเต้นที่สุด ตอนนั้นแทบไม่ได้นอนเลยครับ นอนวันละ 2 - 3 ชั่วโมงทุกวัน เข้าไปถึงไฟนอลแต่ไม่ได้เดบิวต์ พอกลับมาไทยก็ไม่ได้เสียใจกับตรงนั้นมาก เพราะเป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลย ได้ใช้ชีวิตกับเพื่อน ๆ ที่มาจากหลายประเทศ ทำให้เราเห็นว่ายังมีหลายเรื่องที่ต้องพัฒนา เราอาจจะคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว แต่พอไปเจอโลกกว้างทำให้เห็นว่ายังมีคนเก่งกว่าเราควรทำตัวเองให้เป็นแก้วที่ไม่มีน้ำ ใคร ๆ ก็สามารถมาเติมน้ำให้เราได้ตลอด เพื่อเราจะได้พัฒนาต่อไป อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง ต้องเปิดรับอะไรใหม่ ๆ แล้วคุณจะเป็นคนเก่งแน่นอนครับ

 

ในวันที่แซนต้าสู้แบบแทบไม่ได้กินไม่ได้นอนเคยอยากถอยหรือมีแอบร้องไห้ไหม

แซนต้า: มีครับ ผมโทร.หาพี่ (ชี้ไปที่ปอนด์) เราเคยกดดันมาก ๆ จนแอบไปร้องไห้คนเดียว ตอนนั้นอยู่ห้องกับแม่ที่เกาหลี แอบร้องไห้ในห้องน้ำเงียบ ๆ คนเดียวไม่ให้แม่รู้ แต่สุดท้ายผมคิดได้ว่านี่คือสิ่งที่เราเลือก ไม่ต้องเปรียบเทียบว่าเราทำได้ดีเท่าคนอื่นมั้ย แค่ทำให้ดีที่สุดในแบบของเรา จะได้ไม่กลับมาเสียดายภายหลัง

 

อู๋ล่ะคะกว่าจะได้เป็นศิลปินผ่านอะไรมาบ้าง

อู๋: ผมไม่ค่อยมีประสบการณ์อะไรในชีวิตเยอะมากเท่าไหร่ ด้วยความเป็นเด็กต่างจังหวัด โอกาสพวกนี้เข้าถึงยากนิดนึงครับ ผมอยู่ขอนแก่นก็ไม่ได้มีโอกาสเข้ามาหาหรือเวทีให้สมัคร เริ่มเต้นครั้งแรกคือตอนช่วงมัธยมครับ เป็นงานลูกเสือเต้นรอบกองไฟครับ รู้สึกว่าสนุกดีนะ ศิลปินที่อู๋ชอบมากที่สุดตอนเด็กคือพี่บี้ - สุกฤษฎิ์ ดูที่พี่บี้ประกวดจากที่โดนตำหนิเยอะ พี่บี้พัฒนาตัวเองจนมาอยู่ในจุดที่เป็นศิลปินได้
กับอีกคนคือพี่โตโน่ ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน เล่นเกมด้วยกันแต่เด็ก พี่เขาผ่านอะไรมาเยอะ จากเด็กต่างจังหวัดสู้จนตัวเองประสบความสำเร็จ น่าชื่นชมมากครับ

กลับมาที่เรื่องเต้น อู๋เต้นมาเรื่อย ๆ จน ม.4 ม.5 ม.6 เราไปแข่งเต้นครับ ไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นศิลปิน ไม่ได้คิดจะเข้ามาในวงการ แค่ทำเป็นกิจกรรมกับเพื่อน ๆ รู้สึกว่าเราเป็นเด็กต่างจังหวัด โอกาสมันไกลกว่าจะไปถึงจุดนั้น กระทั่งมีโอกาสเข้ามาให้แคสต์เป็นนักแสดงที่ GMMTV ซึ่งทีแรกไม่ได้ชอบทางนี้ เหมือนเรายังชอบชีวิตในแบบของเราอยู่ แต่พอเราทำจริง ๆ มันหนีจากตรงนี้ไม่ได้ ฟีลไม่ชอบอะไรส่วนใหญ่จะได้แบบนั้น ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ทำให้เต็มที่ไปเลย

สำหรับการเป็นนักร้อง แค่หวังไว้เพราะเราชอบร้องเพลง แต่ชีวิตพลิกผันมาเป็นนักแสดงก่อน เราค่อย ๆ หาโอกาส มีอะไรมาเราก็รับไว้และทำเต็มที่ อู๋เป็นนักแสดงมานานมากแล้ว กว่าจะได้โอกาสในเส้นทางศิลปินยากมาก ใช้เวลานานมาก เรารู้สึกว่าเมื่อถึงเวลาของเราทุกอย่างจะลงตัวเอง มีอะไรให้ทำก็ขอให้เต็มที่ไว้ก่อน ผลลัพธ์คือผู้ใหญ่เห็นในความสามารถของเราและหยิบยื่นโอกาส จนได้มาเป็น
ส่วนหนึ่งใน JASP.ER

สิ่งหนึ่งที่ทำให้อยากเป็นนักร้องคืออยากทำให้อากงได้เห็น เพราะว่าเขาอยากให้เราเป็นนักร้องตั้งแต่เด็ก ซึ่งก่อนหน้านี้เราปฏิเสธมาตลอด แต่วันนี้ได้เป็นแล้วครับ ถึงแม้อากงจะไม่อยู่แล้ว เราก็อยากให้เขาเห็น ไม่ว่าจะดูเราจากที่ไหนก็ตาม สิ่งที่เขาอยากให้เราเป็น เราทำให้เขาได้แล้วนะ

 

มาที่จุงบ้างเส้นทางศิลปินกว่าจะมาถึงวันนี้ก็ยาวไกลมาก

จุง: ผมย้ายมาที่ไทยตอนอายุ 16 ครับ เหตุผลที่ย้ายมาคืออยากเรียนจบเร็ว ๆ ตอนอายุ 17 เราอยากทำงาน เพราะรู้สึกว่าตัวเองโตแล้ว อยากใช้ชีวิต คิดว่าการเป็นผู้ใหญ่มันดี ตอนนั้นเข้ามาทำงานเป็นนักแสดงก่อนครับ ผมเดินอยู่สยามฯ ก็มีคนทักให้ไปลองแคสติ้ง บางคนที่มาแคสต์ก็มีแฟนคลับอยู่แล้ว เราก็นั่งต่อแถวเข้าไปห้องออดิชั่น ยืนเรียงกัน 10 คน จนเหลือ 2 คน มีผมกับอีกคนนึง ผมจำ
ไม่ได้ว่าใครอยู่ข้าง ๆ เขาบอกโอเค ผ่านครับ ให้แนะนำตัวนิดหน่อยแล้วกลับบ้านเข้ามาอีกในรอบ 2 ซึ่งเป็นรอบแอ็กติ้ง สุดท้ายก็ได้เล่นซีรีส์ เรื่องแรกอาจจะยังไม่ได้บูมมาก แต่เริ่มมีแฟนคลับ ยอดฟอลโลเวอร์ไอจีจาก 5,000 เพิ่มเป็น 500,000

ใจผมชื่นชอบการเป็นไอดอลอยู่แล้ว เพราะเราเป็นแฟนคลับวง Big Bang, BTS ตอนอยู่ตุรกีก่อนที่จะมาไทย ค่ายที่อยู่ตอนเป็นนักแสดงเป็นบริษัทจีน เสนอว่าไปแข่งขันรายการ Asia Super Young ที่จีนมั้ย ผมตัดสินใจไป เพื่อค้นหาสิ่งใหม่ ๆ รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสใหม่ ๆ แต่ผมเต้นไม่เป็นเลยนะ ทุกคนอาจจะคิดว่าเราเต้นมาตั้งแต่เด็ก โนครับ! ผมมาเริ่มเต้นตอนมีสังกัด ผมเทรนภาษาจีนประมาณ 2 เดือน เรียนเต้น 2 เดือน ฝึกทุกอย่างภายใน 2 เดือน เป็นช่วงเวลาที่กดดันมาก ๆ ต้องเรียนทั้งภาษาและเรียนเต้น ถ้าเทียบกับเพื่อนคนอื่นที่เทรนด้วยกัน เราค่อนข้างอ่อนประสบการณ์ เพราะบางคนร้องเพลงมาก่อน เต้นมาก่อน มีพื้นฐานแน่นมาก ตอนนั้นเราใช้ความเด็กเข้าสู้

ผ่านไปประมาณ 2 - 3 เดือนก็ถึงเวลาไปจีน ไปเทรนต่อที่จีน คาดหวังว่าอีก 2 - 3 เดือนก็คงเริ่มถ่ายรายการ ช่วงเทรนที่จีนสนุกและเป็นโมเมนต์ที่ดีมาก มีเพื่อน ๆ จากไทยที่ไปด้วยกันและจากหลาย ๆ ประเทศ ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นอะไรที่อบอุ่นมาก เพราะทุกคนมาซ้อมเต้นด้วยกัน กลับบ้านพร้อมกัน ตื่นเช้าด้วยกัน กินข้าวที่ไม่อร่อยด้วยกัน คือเป็นเมนูสำหรับเด็กฝึก บรอกโคลีกับปลา ไม่ใช่อาหาร
ไม่ถูกปาก แต่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ คือเทรนนีที่เข้ารายการทุกคนจะถูกควบคุมน้ำหนัก เราต้องถ่ายน้ำหนักของตัวเองทุกวัน ส่งให้ค่ายดูว่าตอนนี้เราน้ำหนักเท่าไรแล้ว ต้องส่งคลิปวิดีโอให้ตรวจการบ้าน ดูว่ากินอะไร ดูว่าร่างกายเป็นยังไง เป็นการสร้างวินัย

 

ผมมีทริคตอนชั่งน้ำหนักนิดนึง ถ้าเราน้ำหนัก 77 กิโลกรัม เราเอานิ้วไปแตะกำแพง เราจะเหลือน้ำหนัก 75 กิโลกรัม ถ้ากดแรง ๆ จะเหลือ 70 กิโลกรัม เป็นแรงโน้มถ่วง โดยรวมตอนนั้นเหมือนทุกอย่างกำลังไปได้ดี สภาพแวดล้อม เพื่อน อาจารย์ที่สอนก็คอยให้กำลังใจ เราก็พยายามเรื่องเต้นมาก ๆ บางทีเต้นไม่ทันก็เริ่มนอยด์ พยายามสุด ๆ ก็เต้นไม่ทันเพื่อน จำไม่ได้สักที มันทั้งท้อทั้งเหนื่อยเลยนะ เพราะตื่นเช้าไปเรียน 7 โมง กลับ 5 ทุ่มทุกวัน คล้าย ๆ แซนต้า ทุกอย่างดำเนินไปอย่างดี แต่ 3 วันก่อนจะถ่ายรายการเกิดโควิด!!! ภาษาจีนที่เรียน คลาสเต้นที่ฝึกกันอย่างหนัก ทุกอย่างที่เราทำตอนนี้จบลงแล้วเหรอ

 

เราไปจีนกับเพื่อน 5 คน ตอนมีข่าวทุกคนยังไม่เชื่อ ทุกคนเทรนมาตั้งหลายเดือน มาจากหลายประเทศ จะยุบได้ยังไง ไม่เชื่อนะ กลับไปที่หอพักก็วิดีโอคอลคุยกับผู้ใหญ่ที่บริษัท “น้อง ๆ ฟังนะลูก น้อง ๆ น่าจะอยู่ที่นั่นอีกประมาณเดือนนึงแหละ เดี๋ยวบริษัทจะจัดการตั๋วเครื่องบินให้และกลับกันนะ จะมีการกักตัว 15 วัน” มาถึงไทยกักตัว 15 วัน ผมจมปลักอยู่แต่ในห้อง อยู่ในห้องคนเดียว นั่งคิด นั่งร้องไห้แบบไม่หยุดเลย เหมือนผมทิ้งทุกอย่างในไทยแล้วไปที่นั่น พอกลับมาก็ไม่รู้จะไปเส้นทางไหนต่อ ผมไม่มีค่ายแล้ว เพราะสัญญาผมคือถ้าไม่มีรายการก็แยกออกมาเป็นอิสระเลย มันเคว้ง ไม่มีหนทาง ไม่มีเงิน เราเหลือเงินประมาณ 50,000 บาทก่อนที่จะไปจีน ตอนอยู่จีนเราก็ใช้เงินฉ่ำเหมือนกัน ไม่รู้เอาอะไรมามั่นใจ

กลับไทยได้แป๊บเดียวคุณพ่อเสีย เงินก็ไม่มี ทุกอย่างแย่หมด ตอนที่แม่โทร.มา ผมถ่าย MV กับเพื่อน ๆ ที่ต่างจังหวัด 3 วัน วันที่พ่อเสียคือเราเดินทางไปวันแรก อีก 2 วันผมก็ต้องถ่าย MV กับเพื่อน ๆ คือร้องไห้ตั้งแต่วันแรก แต่งหน้าไปร้องไห้ไป แต่งหน้าเองด้วย เพราะเป็นโปรเจ็กต์ที่เราอยากทำกัน เลยใช้เงินตัวเอง ตอนนั้นคิดว่าไม่มีรายการ เราอยากทำอะไรตอบแทนแฟน ๆ ที่ซัพพอร์ตเราที่ไทย ให้เรามี
ผลงานได้ติดตามบ้าง

 

ผ่านช่วงที่หนักหนาสาหัสนั้นมาได้อย่างไร

จุง: เพราะที่บ้านด้วยครับ พ่อเสียแล้ว ไม่มีเสาหลัก เราต้องเป็นหลักให้ ถ้าไม่ใช่เราก็คงไม่มีใครแล้ว คิดว่ายังไงก็ต้องยืนให้ได้ ผมไม่รอด น้องผมต้องรอด เราต้องสู้ต่อไป เพื่อน ๆ ผมต่างก็หาเส้นทางในแบบตัวเอง เราเลยประกาศตัวเองว่าตอนนี้ไม่มีค่าย รับงานเองทุกอย่าง มีหลายค่ายติดต่อมา จนมาลงตัวที่ GMMTV

 

มาเป็นนักแสดงก่อนความฝันในการเป็นศิลปินไม่เคยหายไปเลยใช่มั้ย

อู๋: ใช่ครับ ไม่เคยทิ้ง พยายามทำควบคู่กันไป

จุง: ไฟอาจจะลดลงแต่ไม่ทิ้ง

ปอนด์: ไม่ทิ้งครับ เป็นแพสชั่นที่ไม่เคยหายไปไหนเลย

จุง: ผมเจอเพื่อน ๆ มาเติมไฟให้ เพราะไฟเราดับไปมาก ๆ เหมือนทุกคนผ่านการผิดหวังมาค่อนข้างเยอะ แล้วเรามาเจอเพื่อน ๆ ที่คล้าย ๆ กันครับ เอาวะ สู้ไปด้วยกัน

แซนต้า: พอได้กลับมาทำในสิ่งที่ชอบ แล้วเรายังมีความสุขกับมันอยู่ ยิ่งทำให้อยากทำ

ปอนด์: หลายคนถามว่าหนักมากนะ ต้องทำ 2 อย่างมันจะดีเหรอ อย่างที่จุงพูด พอได้เจอคนที่มีเป้าหมายเหมือนกัน มาอยู่ด้วยกัน 4 คน เรารู้ว่าในเส้นทางกว่าจะเดินทางไปถึง เราผ่านอะไรมาบ้าง เราตั้งใจขนาดไหน พอได้รับโอกาสเราแค่รู้สึกว่าอยากทำให้มันดีที่สุดครับ

จุง: ดีใจที่เจอคนเอาใจมาทำงาน ไม่ใช่มาทำงานเพราะมาทำงาน ทุกวันเราเอนจอยที่ตื่นมาทำงาน วันนี้ฉันจะไปเต้นให้แฟนคลับดู อยู่บนเวทีได้ยินเสียงกรี๊ดของทุกคนส่งมาให้พวกเรา ทุกคนร้องเพลงเราพร้อมกัน เป็นอะไรที่พิเศษมาก

ปอนด์: จำได้เลยว่าครั้งแรกคือขึ้นคอนเสิร์ต Feel Fan Fun กับจุงเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว เป็นคอนเสิร์ตแรกในชีวิตเลย ผมมีความสุขมาก (เน้นเสียง) เป็นสิ่งที่รอ แต่ไม่เคยได้เพอร์ฟอร์ม จบงานรู้สึกว่าต่อให้เหนื่อยแทบตาย แต่นี่แหละคือสิ่งที่เราอยากทำมานาน แล้วมันคือสิ่งที่ไม่เคยหายไปจากแพสชั่นเราเลย

 

พอมาเป็นJASP.ER ต้องกลับมาเป็นเด็กฝึกอีกครั้งหนึ่งรู้สึกอย่างไรบ้าง

แซนต้า: ชอบมาก

ปอนด์: ผมจำได้ว่าช่วงโควิดหรือช่วงก่อนหน้านั้นที่ผมแบบไม่สามารถออกไปทำงานพาร์ตไทม์และยังไม่ได้เป็นดารา ที่บ้านให้เงินผมเดือนละ 5,000 บาท ผมก็จ่ายค่าเรียนออนไลน์และเต้นทั้งวัน พอมีโอกาสได้ทำกับเพื่อน ๆ ทั้ง 3 คนก็ไม่ได้เหนื่อยไปกว่าตอนนั้นเลย ถือว่าดีกว่าวันนั้นด้วยซ้ำ ถึงแม้จะเหนื่อย แต่มีคนซัพพอร์ต มีคนคาดหวังกับเราเยอะ ผมรู้สึกว่ามันคุ้มค่าครับ

 

เล่าถึงเพลงแรงอีกนิด(SADISTIC) เพลงแรกที่เดบิวต์JASP.ER

อู๋: เพลงแรกทางผู้ใหญ่อยากวางคาแร็กเตอร์ให้เป็นประมาณนี้ ตอนแรกยังไม่ได้คุยเรื่องรายละเอียดเพลงกับเรามาก ก็เอาเพลงให้เราฟังว่าชอบมั้ย หรืออยากแก้ตรงไหนหรือเปล่า มี 2 เพลงให้เลือก ซึ่งเพลงที่เลือกก็คือเพลง SADISTIC ตอนเลือกก็ยังไม่ได้ชอบดนตรี ยังไม่ได้ชอบ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ผ่านการปรับแก้มาเยอะจนมาเป็นเวอร์ชั่นนี้ครับ คอนเซ็ปต์เพลงก็ตามชื่อเพลงเลยครับ ชอบความซาดิสต์ ชอบรักแบบท็อกซิกอะไรประมาณนี้ครับผม

แซนต้า: คือร้ายใช่มั้ย ฉันก็ร้ายเหมือนกัน เสพติดความเจ็บปวด

จุง: หักอกฉันสิ ชอบสเป็ค Red Flag ครับ

 

ถ้าในชีวิตจริงเจอคนพูดแรงแบบท็อกซิกมีวิธีรับมือยังไง

จุง: ส่วนตัวผมเป็นคนหัวร้อนมาก ตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยเจอคนที่พูดจาแรง ๆ ส่วนมากเจอแนวสอนมากกว่า ฟีลผู้ใหญ่อบรมเด็กมากกว่า แต่ถ้าพูดแรง ๆ ผมเจอบนโซเชียล ซึ่งเราก็แค่ปล่อยวาง ถ้าคุณไม่มี LINE ผม ไม่มีเบอร์ผม คุณก็ไม่ได้สำคัญในชีวิตผมอยู่แล้ว เก็ตปะ!

อู๋: ยังไม่เคยเจอนะครับ ถ้ามีคนมาพูดกับเราแรง ๆ ด่าเราแรง ๆ คิดว่าเดินหนีดีกว่า ปะทะไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะยังไงเขาก็ด่าเราอยู่ดี ไม่มีประโยชน์และเปลืองน้ำลายที่จะไปเถียงด้วย

จุง: แต่ผมชอบเถียงนะ

อู๋: ต้องคัดกรองก่อนว่าสิ่งที่เขาพูดมาจริงหรือเปล่า ถ้าไม่จริงก็ไม่จำเป็นต้องฟัง ถ้าเป็นความจริงก็รับฟัง

แซนต้า: ถ้ามันไม่เป็นความจริงหรือไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราก็ปล่อยผ่าน เพราะไม่สามารถทำอะไรกับคนนั้นได้อยู่แล้ว คนจะไม่ชอบ พูดยังไงก็ไม่ชอบเราอยู่ดีครับ ผมปล่อยให้เงียบยิ่งจบเร็วครับผม คือแล้วแต่สถานการณ์ด้วย บางสถานการณ์เราก็อาจจะสู้ ถ้าไม่เป็นความจริงพร้อมสู้พร้อมเถียงครับ แรงมาแรงกลับบอกเลย

ปอนด์: สำหรับผมถ้าเจอคนท็อกซิก สมัยก่อนผมจะรู้สึกแย่ ผมแคร์ความรู้สึกคนมาก เก็บทุกอย่างที่มากระทบจิตใจ เราคิดทั้งหมดเลย แต่พอผ่านจุดนึงที่เราโตขึ้น ได้เจอพี่ ๆ ที่สนิทคอยสอน ตอนนี้ผมแค่ปรับมายด์เซต คิดว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่ชอบเราทุกคน มีทั้งคนรักและคนที่เกลียดเรา แค่ไม่ได้ต้องให้คุณค่าหรือสนใจคนที่ไม่ชอบเรา ถ้าเจอคนท็อกซิก พยายามรักษาสุขภาพจิตใจตัวเองก่อน เพื่อจะได้
มอบความรักให้คนที่รักเรา

 

เป็นทั้งศิลปินและนักแสดงไปด้วยแพสชั่นเอนเอียงไปด้านไหนมากกว่ากัน

อู๋: ได้ทั้งคู่ ไม่ได้รักสิ่งไหนมากกว่า เพราะผมคิดว่าถ้าไม่ได้เป็นนักแสดงในวันนั้น ก็ไม่มีผมในวันนี้

จุงแซนต้าปอนด์: ใช่ครับ จริงเลย

อู๋: มันคือความจริง จุดเริ่มต้นเป็น 1 2 3 4 ผมเป็นคนไม่ลืมสิ่งที่เราทำมาก่อนหน้านั้น

ปอนด์: ผมจะมองย้อนกลับไปตลอดว่าการที่เรามีวันนี้ได้เพราะอะไร ก่อนหน้าเราเป็นคนที่ชอบการเต้น การเพอร์ฟอร์มอยู่แล้ว ผมมองเกี่ยวกับ Entertainment Industry การแสดงคือหนึ่งในสิ่งที่ต้องนำมาใช้เพอร์ฟอร์ม คือทุกอย่างมันเชื่อมกันหมด ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในหมวดหมู่อะไรมากกว่า ผมเติบโตมากับการเป็นนักแสดงมาก่อน ใครที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ ใครที่ทำให้เรามีวันนี้ พาร์ตเนอร์หรือคนที่ช่วยให้เรามีวันนี้ ผมไม่เคยลืมสิ่งนั้น เราทำควบคู่กันได้ ด้านศิลปินก็จะได้เห็นคาริสมาของเราที่เป็นตัวตนเราอีกแบบหนึ่งครับ

อู๋: ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดง We Are ก็จะไม่ได้ไปแฟนคอนฯ ถ้าไม่ได้ไปแฟนคอนฯ ก็ไม่มีผู้ใหญ่เห็น มันเป็นโดมิโน่

แซนต้า: พอมีสิ่งนั้นเกิดขึ้นก็จะมีสิ่งนี้เกิดขึ้นตาม

จุง: ก็ยังเอนจอยกับแอ็กติ้งกับการเพอร์ฟอร์ม อาจจะเหนื่อยกว่าเดิม แต่มีความสุขครับ

แซนต้า: ยิ่งพวกเรามีความสุขที่ได้ทำเท่าไร เรายิ่งเต็มที่

อู๋: เกี่ยวกับเรื่องคนที่เราทำงานด้วย

ปอนด์: สภาพแวดล้อมดีก็จะนำพาสิ่งดี ๆ มาให้เรา สิ่งนี้สำคัญมาก

 

ถ้ามีโอกาสได้ร่วมงานกับศิลปินสักคนอยากร่วมงานกับใครคะ

ปอนด์: ผมชอบแร็ป ชอบดูชอบเสพ ผมอยากฟีเจอริ่งมิลลิครับ

จุง: ศิลปินไทยที่ชอบคือพี่เจฟ - ซาเตอร์ แต่ถ้าเป็นฝั่งผู้หญิงชอบ 2 คน คือมิลลิและพี่โบกี้ไลอ้อนครับ

แซนต้า: พี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ อยากร่วมงาน อยากฟีเจอริ่งด้วยครับผม

อู๋: ผมชอบฟังเพลงของ URBOYTJ และบิ๊ก D Gerrard เขาน่ารักมากนะ และเก่งมากด้วย

 

ฝากเพลงและผลงานกับแฟน

อู๋: ฝากผลงานด้วยนะครับ JASP.ER นะครับ มีจุง อู๋ แซนต้า และปอนด์ ติดตามพวกเราได้ที่ช่องทาง YouTube ของ Riser Music และ IG : Riser Music ด้วยนะครับ

แซนต้า: ฝาก แรงอีกนิด ไปเล่น challenge ใน TikTok กันด้วยนะครับ และล่าสุดเพิ่งปล่อยซิงเกิ้ล ถอด (TAKE IT OFF) เมโลดี้และทำนองมันสะใจ เพลงบอกถึงคนที่เคยเจ็บกับความรักเลยมีกำแพง จนวันหนึ่งมีคนเข้ามาขอท้าให้เปิดใจกับความรักอีกครั้งหนึ่ง

ปอนด์: พวกเราจะไม่หยุดพัฒนาตัวเองครับ พวกเราจะเก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ครับ
ขอบคุณครับ

Interveiw: AuAi

text: ohhioh 

photo: Tanayut

photo Asst. Kittiya Kulabratana

 

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

GROOVE RIDERS กับเส้นทางดนตรีที่เต็มไปด้วยความผูกพัน และเพลงชาติงานแต่งที่จะเป็น Playlist ตลอดไป