คุยกันเรื่องยุ่งๆ แต่น่ารักมากกับ 4 หนุ่ม GELBOYS สถานะกั๊กใจ

account_circle
event

คุยกันเรื่องยุ่งๆ แต่น่ารักมากกับ 4 หนุ่ม GELBOYS สถานะกั๊กใจ

GELBOYS สถานะกั๊กใจ เรื่องราวความสัมพันธ์ยุ่งๆ แต่น่ารักมาก ของ 4 หนุ่มเล็บเจล ได้แก่ นิว-ชยภัค ตันประยูร ไป๊ป-มนธภูมิ สุมนวรางกูร พีเจ-มหิดล พิบูลสงคราม และ เลออน เซ็ค ในโลเคชั่นที่คุ้นเคยของวัยรุ่นทุกยุคอย่าง สยามสแควร์ ซีรีส์เรื่องนี้จะทำให้คุณรู้สึกว่าการทำเล็บ ช่วยบ่งบอกความเป็นคุณได้มากกว่าที่คิด แต่ก่อนที่จะไปสนุกกับซีรีส์เรื่องนี้แบบเต็มๆ สุดสัปดาห์จะพามาทำความรู้จักกับ 4 นักแสดงนำในเรื่องที่เคมีเข้ากันได้ดี๊ดี

 

หนุ่มGELBOYS” แนะนำตัวกับแฟนๆ สุดสัปดาห์

นิว : นิว -ชยภัค ครับ

เลออน : เลออน เซ็ค ครับ

ไป๊ป : ไป๊ป-มนธภูมิ ครับ

พีเจ : พีเจ-มหิดล

 

เรื่องราวของ GELBOYS สถานะกั๊กใจ” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ช่วยเล่าให้ฟังสักนิด

GELBOYS: ในมุมพวกเรามันเป็นมากกว่าเรื่องราว มันเป็นเหมือน Collect Culture ของ GenZ ไว้ในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ต่างๆ กิจกรรม แฟชั่น หรือว่าไลฟ์สไตล์ของเด็ก GenZ โดยที่พวกเรา 4 คนเป็นตัวเดินเรื่อง และมีโลเคชั่นหลักคือที่ สยามสแควร์ ซึ่งสถานที่ๆ วัยรุ่นคุ้นเคยท วัยรุ่นต่างก็มาสยาม ฉะนั้นจะได้เห็น Culture ของพวกเรา และคนมากมายในสยามแน่นอน

 

การได้ไปทำงานที่สยาม กับปกติที่ไปเที่ยว ความรู้สึกต่างกันมั้ย

นิว  : จริงๆ สยามเนี่ย เป็นแหล่งรวมของวัยรุ่นมา ยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะย้อนไป 10-20 ปี ถือว่าเป็นศูนย์รวมวัยรุ่นที่เยอะที่สุด ซึ่งในยุคสมัยผมที่จริงก็เมื่อไม่นานมานี้ กับ ณ ปัจจุบัน ผมว่าแตกต่างกันมาก เหมือนสยามปรับเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใหม่ หรือมีกิจกรรมให้วัยรุ่น มีอีเว้นท์มากขึ้น พอเราต้องเข้าไปทำงาน เราอาจต้องปรับตัวบ้างจากคนที่เคยไปเที่ยว แต่คราวนี้มาทำงาน

 

พีเจ : สำหรับผมอาจจะไม่ได้ปรับตัวมาก เพราะมันไม่ได้ห่างจากวัยเรามาก และวัยของตัวละครในเรื่องก็รู้สึกว่ายังโตทัน และยังเห็นเป็นปัจจุบันอยู่

เลออน : ไม่ได้ปรับตัวอะไรเยอะขนาดนั้นครับ แบบน้อยมากๆ เพราะผมเพิ่งย้ายมากรุงเทพฯ ได้ประมาณ 1 ปี พอย้ายมาแรกๆ สยามก็เป็นหนึ่งที่ ที่ว่างเมื่อไรคือต้องไป คือบูมที่สุดแล้ว คือสถานที่วัยรุ่นเดียวที่ผมรู้จัก คือผมมาจากขอนแก่นครับ ก็ได้เห็นอะไรหลายๆ มุม แต่พอไปทำงานผมก็รู้สึกว่ามันต่างกันนะ ในมุมคนทำงานมันกลายเป็นว่า เรามองสถานทีนี้เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง เพราะใน objective หลัก คือเข้าไปเป็นเด็กยุคนั้น 100% อะไร มันก็เลยไม่เหมือนการไปเที่ยวเดินเล่นซื้อของ

 

นิว : ขอเสริมนิดนึงครับ ก็คือตอนแรกที่เราเข้าไปสยาม เราอาจจะไม่ได้คุ้นชินกับมันขนาดนั้น แต่ว่าพอเราเริ่มทำงาน ได้ไปเห็นหลายๆ มุมของสยาม มันทำให้เริ่มชิน และพอถ่ายจบ การกลับไปสยามอีกครั้งหนึ่ง มันทำให้รู้สึกว่า Feel like home พอกลับเข้ามาอีกครั้ง มีความรู้สึก อ๋อ ตรงนี้เคยทำอย่างนี้ เพื่อนเราคนนี้เคยร้องไห้ตรงนั้น มันเป็นความรู้สึกที่ได้ฟีลที่หวนคืนกลับมา

 

แต่ละคนรับบทอะไร และคาแรคเตอร์เป็นอย่างไ

ไป๊ป : รับบทเป็น “เชียร” นะครับ คาแรกเตอร์ถ้าเทียบกับตัวเองก็มีทั้งเหมือนและต่างครับ ที่เหมือนตัวไป๊ปเลย ก็ในด้านของความคิด การกระทำ แบความรู้สึกในบางส่วน แต่ในอีกส่วนหนึ่งก็จะมีส่วนผสมกับเด็กยุคปัจจุบันมากขึ้น มีความคิดที่ แตกต่างกัน ความชอบที่แตกต่างกัน หรือว่าการนำเสนอตัวเองที่กล้า หรือจี๊ดจ๊าดมากขึ้นกว่าตัวไป๊ปเองครับ บทมีความกลมกล่อมครับ

นิว : ต้องขอเกริ่นก่อน ทางทีมเขียนบท พี่บอส พี่จุง พี่แตง จะสัมภาษณ์พวกเราทั้ง 4 คน และนำเรื่องราวพวกเรามาเป็น base ตัวละคร ซึ่งเขียนจากตัวเราประมาณหนึ่ง จะมีสิ่งที่เหมือนเรา และเพิ่มเติมเข้าไป เพื่อให้มีความสนุกในเรื่องราว ก็จะมีสิ่งทั้งที่เหมือนเราและไม่เหมือนของแต่ละคน จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะปรับจูนยังไง ผมรับบท “โฟร์มด” เล่ามากไม่ได้ (หัวเราะ) บอกคาแรกเตอร์ละกันว่า ตัวละครนี้มุมนึงเหมือนผม ที่มันไม่ค่อยได้ใช้ แต่ว่ามันมี ก็หยิบยกขึ้นมาเพื่อขยายมากขึ้นครับ

พีเจ : ผมรับบทเป็น “บ้าบิ่น” ครับ  “บ้าบิ่น” คล้ายตัวผม 100% เลย ให้นิยามบ้าบิ่น ผมนิยามว่าเป็นความสดใสของเรื่องครับ

เลออน : รับบท “บัว” ในเรื่องแอบเป็นตัวแรง ตัวแฟชั่นที่กล้าพูดกล้าทำ ซึ่งบทนี้เป็นอะไรที่ตรงกับตัวผม ผมรู้สึกว่าคาแรคเตอร์ตรงกับผมแทบจะทุกอย่างเลย แต่ก็มีบางอย่างที่อัพเลเวลเกินผมไปอีกนิดนึงครับ(หัวเราะ) ตอนแรกรู้สึกว่า โอ้โหต้อง push limit ตัวเองขึ้นไปถึงขั้นนั้นเลยเหรอ แต่สุดท้ายพอได้มาลองทำลองเวิร์กช็อปจริง ได้เห็นว่าจริงๆ สิ่งนี้คือสิ่งที่อยู่ในตัวผมมาตลอด รู้สึกว่าการได้เล่นเป็นตัวละครนี้ เหมือนเป็นการค้นพบตัวเอง เป็นการเรียนรู้ตัวเองไปด้วย ทุกตัวละครมีส่วนที่มาจากพวกเราด้วย เป็นอะไรที่หาไม่ได้ง่ายๆ ที่จะมีการแคสต์ตัวละครมาแล้วปรับเนื้อเรื่องให้เป็นคนๆ นั้นได้จริงๆ

นิว : ต้องให้ความดีความชอบกับพี่ๆ เขาเลย เพราะบางครั้งเราเองแทบจะไม่รู้เลยว่ามุมแบบนี้มันมีในตัวเราด้วย แต่พอไปเล่นแล้ว เรารู้ตอนนั้นว่า เออ…เรามีด้านอยู่ด้วยนะ

 

ตอนที่พี่ๆ เรียกไปสัมภาษณ์ ใช้เวลาคุยนานไหม

GELBOYS : ไม่เลยครับ คุยไปเรื่อยๆ ถามโน่นนี่ว่า เราไปเจออะไรมาบ้าง เหมือนคุยกันอย่างนี้เลย แต่ระหว่างเวิร์กช็อปทำให้พวกเราค่อยๆ รับรู้ว่า บทนี้มีความคล้ายตัวเรามาก คือตอนแรกที่อ่านบทไม่มีใครรู้สึกเลยว่าเหมือนตัวเอง มีแอบถามกันด้วยนะว่า ทำไมบทมันห่างไกลกับเราจังเลย แต่พอเวิร์กช็อปไปเรื่อยๆ เราก็ได้รับคำตอบในระหว่างเวิร์กช็อปนั่นแหละ

 

ความรู้สึกตอนที่ได้อ่านเรื่องย่อ เกี่ยวกับเล็บมีคิดมั้ยว่าน่าจะเป็นเรื่องของผู้หญิง

นิว : ผมรู้สึกว่ายุคนี้มันทัชมากเลย เพราะเอนเอียงไปทางนั้น ถ้าจะหมายถึงเรื่องเพศ ผมว่ามันไม่เกี่ยว การทำเล็บมันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือแบ่งแยกอะไรเกี่ยวกับเพศเลย แต่มันเป็นสิ่งที่เล่าถึงตัวตนของคุณได้ ในแบบที่ไม่ต้องพูด

ด้วยความที่จุดเด่นของซีรีส์เรื่องนี้คือการทำเล็บ ตัวละครทุกตัวถึงจะไม่ใช่ตัวละครหลัก ทุกคนก็ทำเล็บ มันจะเห็นอะไรบางอย่าง คือ มองแล้วสามารถเล่าได้เลยว่าคนๆนี้เป็นยังไงบ้าง

เลออน : กลายเป็นว่ามีการนำเสนอตัวเองผ่านเล็บไปแล้ว แสดงให้เห็นว่าคนๆนั้นชอบอะไร เขาใช้สีอะไร ลายเป็นยังไง

นิว : เราเทียบได้กับเสื้อผ้า เหมือน Outfil นึง เหมือน Accessory ที่บ่งบอกตัวตนว่า วันนี้เราอยากจะเป็นคนแบบไหน ช่วงนี้อินอะไร จริงๆ เรื่องทาเล็บอาจจะค่อนข้างใหม่กับผู้ชายบ้าง แต่ว่า ณ ตอนนี้ มันเป็นแฟชั่นปกติแล้วนะ ในกองทีมงานเบื้องหลังทุกคน อย่าง พี่ๆ ตากล้องอยากทํากันหมด เชื่อว่าพอได้ดูเรื่องนี้ ทุกคนจะรู้สึกอยากทำเล็บกันหมด

เลออน :ผมคาดหวังนิดหนึ่ง คือถ้าคนได้ดูเรื่องนี้กันเยอะๆ ผมอยากเห็นภาพที่คนอยู่สยามแล้วไปทำเล็บเหมือนในเรื่อง รู้สึกว่าเราเป็นซอฟท์พาวเวอร์ เป็นผู้นำเทรนด์บางอย่างนะ

 

แต่ละคนมีความสนใจเรื่องการทาเล็บกันบ้างมั้ย

นิว : ผมว่าการทำเล็บเป็นอะไรที่ยูนิเซ็กส์แล้ว ในวงการแฟชั่น เราจะเห็นนายแบบทาเล็บ แม้แต่นักร้องศิลปิน แร๊ปเปอร์ชาย ก็ทาเล็บ ซีรีส์เรื่องนี้จะเป็นอีกแรงผลักดันให้คนรู้สึกว่าการทำเล็บเป็นยูนิเซ็กส์นะ คุณทำได้ บางคนที่อยากลองอาจจะเริ่มรู้สึกว่ามันทำได้

ไป๊ป : ใครชอบอะไรก็ทำไปเลย การทกเล็บมันเป็นการบ่งบอกตัวเองที่ดี

นิว : ผมเป็นคนที่ชอบกัดเล็บ ทาเล็บเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีนะ เพราะป้องกันไม่ให้กัดเล็บ ก็คือแต่งให้ดีไปเลยเพื่อไม่ให้เรากัดเล็บ

 

สไตล์ทำเล็บของแต่ละคนที่ชอบเป็นแบบไหน

ไป๊ป : ผมไม่ได้คุ้นเคยการทำเล็บมาก่อน ไม่ได้มีประสบการณ์เลย แต่พอต้องมาเล่นซีรีส์ ผมชอบทาเล็บสีเงิน ทาที่เล็บแล้วมันเท่ เก๋ ดีครับ

เลออน : ของผมน่าจะเป็น เป็นรูปมะนาว ดอกไม้ความสดใส หรือแบบท้องฟ้าครับ

พีเจ : ของผมเคยทำเล็บมาก่อนครับ แต่เป็นสีพื้นธรรมดา ถ้าตอนนี้ก็คงจะเป็นพื้นหลังเป็นสีน้ำเงินเข้มๆ และมีดาวแบบ เป็นกลิตเตอร์เหมือนท้องฟ้า

นิว : ผมชอบอะไรที่ไม่เป็นลวดลาย ชอบแนว Abstract มากกว่า พออยู่บนเล็บแบบสาดลงไปเลย น่าจะเท่ดี ชอบเนื้อแมตช์ ไม่ชอบให้เล็บเงา

 

การทำงานด้วยกัน 4 คนเป็นยังไง

GELBOYS : เราไม่เคยร่วมงานกันมาก่อนครับ เคยเห็นหน้ากันมาบ้างจากผลงานเก่าๆ ของแต่ละคน พอได้มาเจอกัน 4 คน เป็นเคมีที่เข้ากันมากครับ ด้วยอายุที่ไม่ห่างกันมาก นิสัยบางอย่างคล้ายกัน ก็เลยรู้สึกว่า 4 คนนี้ เป็นเคมีที่เป็นทั้งเพื่อนในชีวิตจริง และเป็นเพื่อนในซีรีส์ครับ คือเรื่องนี้ต้องเป็นเรา 4 คนนี้เท่านั้นนะครับ แคสต์มาถูกต้องมาก แทบไม่ต้องปรับตัวกันเลย วันแรกที่เจอกันก็คุยกันสนิทแบบนี้เลย

 

ร่วมงานกับพี่บอส ผู้กำกับเป็นอย่างบ้าง

นิว ผมเคยร่วมงานกับพี่บอสมาแล้ว ตั้งแต่แปลรักฉันด้วยใจเธอ 2 แต่มาครั้งนี้เหมือนได้มาเล่นเป็นบทนำครั้งแรกกับพี่บอส คือกดดันมาก แต่ดีใจนะครับ ไดยินชื่อเสียงพี่เขามาว่า ค่อนข้างเข้มข้นในเรื่องแอ็คติ้ง แต่ผมว่ามันก็มีทั้งความสนุก ความเครียด ความกดดันปนๆไป พอเสร็จรู้สึกว่า อ๋อ… โอเค ณ  ตอนนั้นที่เราอยู่ในเซ็ต เรายังไม่ได้ตกตะกอนมากพอ ว่าสุดท้ายแล้วที่เราแอ็คติ้งสิ่งนี้ไป เราได้อะไรกลับมา เราเห็นอะไรบ้างในข้อผิดพลาด

ตอนนั้นมันเหมือนต้องทำให้ได้นะ ทำๆๆ ไป แต่พอ ณ วันนี้ ที่งานมันจบมาแล้ว ได้กลับมานอนคิดได้ว่า เขาหยอดสิ่งนี้ให้ตอนนั้น  เพราะเขาเห็นสิ่งนี้ในตัวเรา เขาดันลิมิตเราเข้ามาอีก ผมรู้สึกว่า พี่บอสเป็นคนเก่งมากในการ pushing คน แล้วก็มองว่า จริงๆ คนนี้ไปได้ถึงขนาดไหน ทำอะไรได้บ้าง และทำอะไรที่มีเสน่ห์ได้บ้าง

 

ได้ inspiration อะไรจากพี่บอสบ้าง เพราะเรียนทางด้านนิเทศศาสตร์ เรียนภาพยนตร์

เลออน : ผมขอตอบ ผมน่าจะเป็นคนเดียวใน 4 คนนี้ที่ไม่เคยทำงานด้านการแสดงมาก่อนเลย อันนี้เป็นซีรีส์เรื่องแรก แล้วผมรู้สึกโชคดีมากที่พี่บอสเป็นผู้กำกับ คือตั้งแต่ผมรู้ว่าเป็นพี่บอส ผมไปดูเรื่องแปลรักฯ และผมรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในเพลงมันพอดี มันเป๊ะ และผมก็นั่งคิดว่านี่คือฟลุค หรือว่าเขาจับทุกอย่างมาให้มันเป๊ะกันนะ สุดท้ายผมมารู้ทีหลังว่าเขาจัดทุกอย่างจริงๆ เขามองลึกทุกดีเทล ซึ่งตอนนั้นผมก็นึกภาพไม่ออก แต่พอได้เข้าไปเล่นจริง ผมเห็นเลยเห็นว่าพี่บอสใส่ใจในงานมากจริงๆ รายละเอียดของเขามันครบเต็ม 100 มากๆ แล้วการโค้ช การโพสต์แอ็คติ้งคือเป๊ะ เวลาเราแสดง 4 นะ

ผมอยากให้ทุกคนดู มันเป็นอะไรที่อธิบายไม่ได้ คือเวลาเรายืนคุยกับเขาในเซ็ต และเขาโค้ชมาแล้วว่า เราเข้าซีนนี้ objective ความต้องการของยูคือสิ่งนี้ ทุกอย่างสีหน้าเขาออกชัดมาก คือจริงๆ เขาไม่ต้องใช้คำพูดก็ได้ เขาแค่ทำสีหน้า ผมก็รู้แล้วว่าเขาต้องการสื่ออะไร เขาเป็นคนที่เก่งเรื่องอารมณ์มาก ซึ่งพี่บอสก็ทำให้ผมเห็นตัวเองในหลายๆ ด้านที่ไม่ค่อยเห็นมัน

 

นอกจากเรื่องทาเล็บ แต่ละคนคิดว่าแฟชั่นอะไรแสดงความเป็นตัวเราได้อีก

นิว : แล้วแต่อวันเลยครับ ผมเป็นคนแล้วอารมณ์มาก ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นอินอะไร ถ้าเรื่องแฟชั่น เราดูหนังมา ก็แล้วก็จะเก็บ Element บางอย่างจากหนังมา ไม่ว่าจะคอสตูม เซ็ต มู้ดแอนด์โทนต่างๆ หรืออินเพลง ได้ดูเอ็มวีก็จะเก็บสิ่งนั้นมาอิน ก็พยายามหา reference มาแต่ง แต่ก็ยังมีความเป็นเราอยู่ดี

พีเจ : น่าจะเป็นนาฬิกาครับ นาฬิกามีหลากหลายสไตล์ ผมเป็นคนชอบแบบนาฬิกามาก มันแล้วแต่วันด้วย บางวันผมชอบเรือนสีทอง บางเรือนสีเงิน บางวันเป็นสปอร์ต

เลออน : ของผมคงเป็นกำไลข้อมือกับแหวน ตั้งแต่เด็กผมชอบกำไลข้อมือมาก ผมเคยทำกำไลข้อมือขาย ด้วย เป็นแบบเชือกทำแล้วร้อยลูกปัด คือถ้าวันไหนผมแต่งตัวไปเรียนที่มหาวิทยาลัยชิลล์ๆ ก็จะใส่พวกลูกปัดหินนำโชคดี คือยังไงต้อง ส่วนแหวนผมไม่เคยถอดเลย ถ้าดูในซีรีส์จะเห็นว่ามีทุกฉาก ผมรู้สึกว่า 2 อย่างนี้ก็แสดงคาแรกเตอร์ได้ชัดเจนดี อย่างวันไหนเราใส่สีสันก็จะเป็นฟีลร่าเริง วันไหน Down นิดนึง ก็จะใส่อะไรที่เป็นเงินๆ หรือว่าลูกปัดดำครับ

ไป๊ป : ผมจะเป็นหมวก กับ รองเท้า ต่อให้เราแต่งตัวยังไง พอใส่รองเท้าเปลี่ยนทั้งชุดได้ และก็เพิ่มหมวก ช่วยเพิ่มไอเดียได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมมองว่าสไตล์คือสิ่งสำคัญสุด ถ้าแฟชั่นคือเสื้อผ้าที่เราใส่ แต่สิ่งสำคัญของแต่ละคนคือ สไตล์ที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งทำให้แต่ละคนแตกต่างกันไป ต่อให้เราเปลี่ยนชุด เปลี่ยนสี ทุกคนจะอยู่ในสไตล์ของตัวเอ และผมว่านั่นคือสิ่งที่สำคัญมาก เล็บก็เช่นกัน สื่อได้เหมือนกันว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร

 

ฝากซีรีส์เรื่อง GELBOYS สถานะกั๊กใจ

GELBOYS : พวกเรานักแสดงทั้ง 4 คน จากซีรีส์เรื่อง GELBOYS ” (เจลบอยส์) นะครับ อยากจะฝากผลงานชิ้นนี้ด้วย เป็นผลงานที่พวกเรานักแสดงทุกคน และทีมงานทุกคนตั้งใจทำกันมากๆ เรื่องนี้ใช้เวลาในการทำงาน ประมาณเกือบ 2 ปี อยากให้ทุกคนได้ดูว่าสิ่งที่เราอยากนำเสนอจริงๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องเล็บ มันมีหลายเรื่องราวมากมายนั้น ก็ฝากติดตามด้วยนะครับ เริ่มตอนนแรกเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์นี้ ชมได้ทุกวันเสาร์ ดูสดพร้อมกัน เวลา 20:30 น. ทาง ช่องวัน 31 และรับชมออนไลน์เวอร์ชัน UNCUT เวลา 21:45 น. บนแอป iQIYI (อ้ายฉีอี้) และเว็บ www.iQ.com ที่เดียวเท่านั้น

 

Text: ohhioh 

Photo: James 

 

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

คุยกับ ป้อง ณวัฒน์ โหมดคุณน้าสุดอบอุ่นและความสุขของการเป็นนักแสดง

เป๊ก ผลิตโชค คัมแบ็คแบบท็อปฟอร์ม กับน้ำเสียงเอกลักษณ์ที่คุ้นเคย