เบื้องหลังเส้นทางฝ่านรกแบบครบรสของ ดู๋ เวียร์ มายด์ ใน Bangkok Breaking

account_circle
event

 

เบื้องหลังเส้นทางฝ่านรกแบบครบรสของ ดู๋ เวียร์ มายด์ ใน Bangkok Breaking

สัมภาษณ์นักแสดงนำ เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ ดู๋-สัญญา คุณากร และมายด์-อาทิตยา ตรีบุดารักษ์ ถึงเบื้องหน้าและเบื้องหลัง Bangkok Breaking: ฝ่านรกเมืองเทวดา ภาพยนตร์แอ็คชั่นไทยคุณภาพจาก Netflix 

 

เวียร์ศุกลวัฒน์ คณารศ รับบท วันชัย

 

คาแรคเตอร์ที่ได้รับในเรื่องนี้เป็นอย่างไร

หนังเรื่องนี้ผมรับบทเป็นวันชัย ถ้าใครเคยได้ดูซีรีส์ Bangkok Breaking มหานครเมืองลวง ก็จะเป็นวันชัยเหมือนเดิม แต่ว่าเรื่องราวต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นภาคแยกซึ่งทำเป็นภาพยนตร์ครับ จะเล่าเรื่องราวของตัววันชัย ที่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ แล้วยังทำงานในมูลนิธิ จากเคยเป็นกู้ภัยก็เลื่อนขั้นเป็นกู้ชีพ โดนถูกส่งไปเรียนเป็น Medic ซึ่งวันชัยได้มีการพัฒนาเรื่องตัวตนของเขา  พอจะรู้ทันสังคมเมืองมากขึ้น แต่วันชัยก็คือวันชัย ชีวิตเขาคือต้องช่วยชีวิตคน ทำให้ต้องไปตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย และต้องเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และด้วยความที่เป็นวันชัย เขาจะรอดคนเดียวมันก็ได้ แต่ถ้ารอดหรือพาคนอื่นรอดไปได้ด้วยนั้นจะดีกว่า เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการหนีตาย การเอาตัวรอด มีความตื่นเต้น สำหรับการทำงาน การแสดงส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของ Outer มากกว่า Inner เพราะด้วยความที่เป็นแอคชั่นภายในหนึ่งหรือสองชั่วโมงที่เป็นภาพยนตร์ ทำให้ทุกอย่างต้องชัดเจนในเรื่องของการทำความเข้าใจในตัวละคร โชคดีที่ผมเป็นวันชัยมาก่อน แต่จะมียากตรงที่วันชัยได้เปลี่ยนผ่านประสบการณ์มาประมาณช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วในหนังจะเป็นเรื่องการเอาตัวรอด การหนีตาย เรื่องนี้เป็นหนังแอคชั่นแล้วก็มีดราม่าด้วยครับ

 

มีการเตรียมตัวกับการแสดงหนังเรื่องนี้อย่างไรบ้าง

เตรียมตัวเยอะมากๆ ครับ อย่างแรกเลยนักแสดงทุกคน เราต้องออกกำลังกาย ฟิตความพร้อมไม่ใช่อยู่ๆ จะมาเล่นได้เลย หรือว่าจะมีพลังงานในการทำงาน เพราะว่าเราถ่ายทำ เรื่องราวในหนังมวลรวมใหญ่มันคือหนึ่งคืน เพราะฉะนั้นหนึ่งคืนที่เกิดขึ้นหมายความว่าทั้งเรื่องนี้ เราจะถ่ายทำตอนกลางคืน นัดหกโมงเย็นเลิกหกโมงเช้าดังนั้น การเตรียมตัวเรื่องความพร้อมทางร่างกายคือสำคัญมาก อย่างวันชัยในเรื่องต้องมีการขับรถหนีตาย วิ่งหนีตาย ช่วยชีวิตทุกคนที่อยู่ใกล้ตัว ต้องใช้พลังงานมากพอสมควร อย่างที่สอง คือเรื่องของความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในตัวละครแต่ละตัว เพื่อที่เราจะสามารถใช้งานได้ทันท่วงทีในทุกๆ ความต้องการ ซึ่งนั่นก็คือเรื่องการเตรียมตัวที่สำคัญ ซึ่งทุกคนก็ทำได้ดีมากครับ

 

ทราบมาว่าตอนเป็นซีรีส์คุณเวียร์ต้องไปเรียนกู้ภัย แล้วเรื่องนี้ต้องทำอะไรแบบนั้นบ้างไหม                       

อย่างช่วงที่เป็นซีรีส์ Bangkok Breaking มหานครเมืองลวง ผมต้องโดนส่งไปเรียนการช่วยชีวิตเบื้องต้น เพราะในบทวันชัย ผมเป็นกู้ภัยมาก่อนแล้วก็มาเป็นกู้ชีพ เป็นกู้ชีพก็คือช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเบื้องต้น แต่ในเรื่องนี้วันชัยเป็น Medic แล้ว ซึ่งผมก็ต้องไปเรียนเพิ่มเติม Medic ก็คือเหมือนแพทย์ แต่แพทย์คนนี้ไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล แพทย์คนนี้อยู่บนรถและถนน ผมก็ต้องไปเรียนเพิ่มเติมเรื่องของการเข้าเส้น การให้น้ำเกลือ  การฉีดยา การช่วยชีวิตเบื้องต้นที่มันมากขึ้นกว่าการเป็นกู้ชีพ แต่ในเรื่องนี้ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นในการช่วยเหลือ มันคือการเอาตัวรอด เพราะฉะนั้นจะมีความจริงมากๆ  ในการช่วยเหลือคน เพราะว่าในเรื่องเราไม่ใช่แค่ Medic ที่อยู่บนถนนปกติที่มีความสงบ แต่เป็น Medic ที่อยู่ในเหตุการณ์คับขันที่จะต้องหนีตาย ก็จะอัพไปอีกเลเวลหนึ่ง แต่ก็ไม่ต้องห่วงเพราะทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของทีม Medic แท้ๆ ที่เข้ามาช่วยดูเรื่องความถูกต้องครับ

 

อยากให้เล่าถึงประสบการณ์ถ่ายฉากไล่ล่าว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งขับรถ วิ่ง รถชนประมาณนี้

เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพชัดเจน ก็คือช่วงแรกๆ เราถ่ายกันเกือบ 25 คิวบนรถพยาบาล ซึ่งเป็นซีนไล่ล่าเพียง 25 นาทีของภาพยนตร์ ซึ่ง 25 คิวนี้มันทำให้ทีมงานเราทุกคนหายใจเป็นจังหวะเดียวกันแล้ว เหมือนเป็นช่วงมาทำความรู้จักกันก่อนนะครับ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมที่ดีมาก เพราะฉากที่จะต้องเจอต่อจากนั้นเป็นฉากที่ต้องเข้าเซตจริงๆ ในเคหะที่ใช้ประมาณ 70% ของเรื่อง ซึ่งคืออภิมหาความวุ่นวาย หนีตาย ระเบิด วิ่ง หอบหายใจ ควันไฟ ทุกอย่าง   การที่เราผ่านกันมาแล้ว 25 คิวที่อยู่บนรถด้วยกันมันเลยแบบทำให้ทุกอย่างไปได้เร็วเป็นทีมเวิร์ค ทำให้ทำงานได้สนุก งานผ่านไปด้วยดี เราก็ดีใจ

 

อย่างฉากวันเทค เป็นซีนที่ขับรถพยาบาลไล่ล่ากันในช่วงแรกเพื่อจะเอาตัวรอด ซึ่งเป็นวันเทคถ่ายรวดเดียว ผู้กำกับเขาก็ถามว่าพี่เวียร์ คิดว่าจะขับรถเองไหม หรือจะให้พี่หนึ่ง Drift (ชัยยศ ชัยยศบูรณะ Stunt Driver) ที่เป็นสตั้นท์ขับ ผมก็บอกว่าให้พี่หนึ่งขับก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมขอนั่งไปด้วยกับพี่หนึ่ง แล้วก็ปรึกษากันตลอด พอดูแล้วมันไม่ได้ยากเพราะว่าเราควบคุมทุกอย่างและมีการซ้อมกันหลายสิบรอบ และรถพยาบาลก็คือวิ่งด้วยความเร็วที่เขาต้องการ ส่วนรถข้างๆ ที่เป็นรถแบบกล้องฝั่งนึง อีกฝั่งหนึ่งคือรถผู้ร้าย 2 คันข้างๆ เขาคือสตั้นท์ขับอยู่แล้ว เวียร์แค่ขับของเราไป รอบแรกพี่หนึ่งขับก่อน และเหลืออีกสองรอบผมตัดสินใจขับเอง ซึ่งตื่นเต้นมาก แต่มันไม่ได้ยาก ไม่ได้น่ากลัว และปลอดภัยมาก เพราะทุกอย่างคือเซฟ ทุกอย่างคือวันเทค ก็ผ่านไปได้แบบดีมาก ทุกคนต้องรอชม นอกจากวันเทคแล้ว จะมีซีนที่รถวิ่งทะลุเข้าไป ซึ่งผมขับเอง เล่นเองหมดนะเรื่องนี้ ไม่มีสตั้นท์ ผมว่าด้วยความที่มันเป็นภาพยนตร์แนวนี้ ทุกอย่างก็ต้องมีเรื่องของแบบการหนี การไล่ล่า ที่มันสมจริงทุกอย่าง เพราะฉะนั้นพวกซีนต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น เช่น ขับรถ ยิงกัน  วันเทคยาวๆ หรือขับรถพุ่งชนทุกอย่าง ผมว่าพอมันถึงใจพวกเรา มันก็จะถึงใจคนดูด้วยว่าพวกเราทำโปรดักชั่นมา เราตั้งใจ  เราเซตทุกอย่างขึ้นมา เราทำทุกอย่างให้แบบสมจริงและมันสนุก ผมว่ามันเวิร์คนะ คือเราลงทุน ก็อยากให้ทุกคนได้เห็นการทำงานและความตั้งใจที่เราอยากให้ทุกคนได้เสพอะไรที่มันสมน้ำสมเนื้อที่คุณมาดูภาพยนตร์เรื่องนี้  พวกเราก็เต็มที่กัน ผมก็ขับเองด้วยเหมือนกันครับ

ฉากที่ชอบที่สุดในเรื่องนี้

ส่วนตัวผมเลยน่ะ จริงๆ ก็มีหลายซีน แต่ซีนที่ทำให้ผมประทับใจแล้วก็รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ก็คือ ซีนเปิด เรารู้สึกว่าหนังสักเรื่องหนึ่งมันจะเปิดด้วยอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าแล้วเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ ซึ่งเรื่องนี้ทำได้ ผมเองเป็นนักแสดง ผมยังรู้สึกว่าผมอยากรู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ แล้วก็โปรดักชั่น เซตต่างๆ ที่ทำขึ้นมาใหม่ทั้งหมด คือจากพื้นที่ว่างเปล่า เราทำมันขึ้นมา แล้วผมต้องไปอยู่ในนั้น รอบข้างคือดูจริงมาก ทั้งระเบิด สลิง ทุกอย่าง ผมรู้สึกว่ามันทำให้ผมแทบจะไม่ต้องแอคติ้งอะไรเลย โปรดักชั่นมันพาให้เราไปถึงจุดนั้นได้ มันไม่ได้มีทุกที่ เพราะฉะนั้นผมถึงบอกผมโชคดีที่ผมเข้ามาอยู่ในทีมของ Netflix ได้มาอยู่ในทีมของภาพยนต์เรื่องนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้พัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง เราได้อยู่ในภาพยนตร์ที่มีคุณภาพ ทีมนักแสดงที่มีคุณภาพ แล้วซีนเปิดนี่ทำให้เรารู้สึกว่าแล้วว่าวันชัยจะทำยังไงต่อ นั่นแหละคือภาคแยกจริงๆ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

 

อยากให้เล่าถึงโลเคชั่น ฉาก พร็อพในหนังเรื่องนี้ เพราะดูเหมือนเป็นคนละโลกกับเราเลย

ก้าวแรกที่รถตู้พาผมมาถึงกองถ่าย ผมอึ้งมากเพราะจริงจังกันมาก น้องๆ พี่ๆ นักแสดงร่วมอีกเป็นร้อย ทั้งไฟ ทั้งพลุ ทั้งสารพัด  ผมว่าผมมาอยู่ถูกที่ถูกเวลา ถูกทาง เพราะลงทุนแบบอลังการมาก ผมรู้สึกว่าใครไม่ดูนี่พลาด เพราะว่าคุ้มค่ามาก คุ้มค่ามากจริงๆคือแต่ละเซตอัพ ทุกอย่างคือทางทีมโปรดักชั่น คือเขาลงทุนมาก สุดยอดมากเลย

 

อยากให้เล่าถึงแฟลตที่คุณเวียร์บอกว่า 70% ของเรื่องคือเป็นเซตอัพว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ตอนผมเห็นแฟลตครั้งแรก ผมถามทีมงานว่า พี่พาผมมาที่ไหนเนี่ย เพราะมันดีมันดูเรียล และก็ดูน่ากลัวด้วย คือมันดูจริงจนบางทีผมก็ถามว่า พี่เซตรึเปล่าอันนี้ เขาก็บอกว่าเซตครับ เขามีการใช้ขยะ ของต่างๆ มาเซตทุกอย่างให้มันดูเป็นเคหะที่ไม่ได้มีความน่าอยู่ แต่คนก็อยู่กัน แล้วก็เต็มไปด้วยเรื่องอะไรก็ไม่รู้จนไม่มีใครอยากเข้ามาในนี้ ซึ่งความรู้สึกผมก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ  นักแสดงร่วมทุกคนคือ แต่งแล้วสุดยอดมาก เพราะไม่ได้แต่งกันง่ายๆ  คือทุกคนมาจากบ้านนี่คือคนปกติ แต่พอแต่งปุ๊บ กลายเป็นคนไร้บ้านทันที เดินๆ มาก็มีตกใจ มืดๆ อะไรอย่างนี้ ซึ่งทำดีมาก

 

ประสบการณ์ในการร่วมงานกับนักแสดงคนอื่นๆ

อาจารย์ทั้งหลายของเราที่มารวมตัวกัน มีน้องใหม่ด้วย ผมว่าเป็นอะไรที่เป็นสีสัน ความเหนื่อยมีแน่นอนอยู่แล้ว แต่สนุกทั้งในเรื่องของผลงานที่ออกไป แล้วก็ในกองถ่ายเราก็ต้องมีความสุขในการทำงานด้วย ซึ่งเรื่องนี้คือดี สำหรับปรมาจารย์ คุณสัญญา (ดู๋-สัญญา คุณากร รับบทเป็น สิน) ผมว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์มาก ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปเจอใครบ้างในภาพยนต์เรื่องนี้  พอชื่อพี่ดู๋ขึ้นมาก็ตื่นเต้นนิดหน่อย เพราะต้องมาเจอปรมาจารย์ แต่เรารู้จักกันอยู่แล้ว แค่ไม่ได้ร่วมงานกันตลอดเวลา แต่เราก็รู้ว่าพี่ดู๋นี่เขามาทุกทาง ทั้งเล่นภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ พิธีกรทุกอย่าง ผมก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย แล้วพอพี่เขาเมคอัพ พอลงทุกอย่างเป็นสินแล้ว เท่มาก ผมจำไม่ได้เลย และผมเชื่อว่าคนจะตกใจ คนจะงงว่านักแสดงท่านนี้คือใคร ซึ่งก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทางโปรดักชั่นต้องการอยู่แล้ว ผมว่ามันมีอะไรให้เซอร์ไพรส์ดี ผมชอบ อย่างน้องมายด์ (อาทิตยา ตรีบุดารักษ์ รับบทเป็น เมจิ) น้องฟลุค (ธีรภัทร โลหนันทน์ รับบทเป็น แบงค์) นี่ผมก็ไม่เคยร่วมงาน พี่ต็อก (ศุภกร กิจสุวรรณ รับบทเป็น ช็อปเปอร์) ก็ผ่านๆ บ้าง พี่เดย์ (เดย์ ไทเทเนียม รับบทเป็น ดาร์ลี่) ก็คนละสายเลย แต่ว่ารู้จักว่าพี่เขาเป็นศิลปิน ทุกคนมีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนมาก นั่นหมายความว่าทีมแคสติ้งคงคิดกันมาหลายตลบ ผมถึงบอกว่าผมโชคดีมากที่ได้มาอยู่ในหมู่มวลของนักแสดงที่ถูกคัดสรรมาอย่างดีแล้ว ทุกคนคือมีของ หลายๆ ซีนที่เราร่วมถ่ายด้วยกันบางทีผมต้องมนต์สะกด ซึ่งบางทีผมไม่ได้ถ่าย แต่ผมนั่งดูมอนิเตอร์ มันเหมือนเราดูหนัง ก็แบบทำไมทุกคนเก่งอะไรอย่างนี้ ซึ่งดีนะมันทำให้ภาพยนตร์ของเราสนุก และไม่ได้มีช่วงเวลาให้น่าเบื่อ ทุกคนดูมีพละกำลังกันมาก

 

ความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับ

ดีใจครับ พี่โขม (ก้องเกียรติ โขมศิริ) ก็ลุยเต็มตัวนะครับ พี่โขมเขาเป็นคนทำงานเอาจริงคือต้องเต็มที่ คือถ้าไม่ได้ ไม่ทำ ถ้าจะทำแล้วจะต้องดีไปเลย ซึ่งผมชอบมุมนี้ ผมรู้สึกว่าจะทำก็ต้องทำให้มันดีไปเลย สุดๆ ไปเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดว่าไม่น่าเลยอะไรแบบนี้ ถ้าเรามีโอกาสได้ทำมันก็ต้องเต็มที่ แล้วเขาก็มีมุมที่เขาเพิ่มเติมเสริมกัน คุยกันปรึกษากันได้ตลอด ผมรู้สึกว่าถ้าเป็นภาพยนตร์แนวนี้ พี่โขมก็น่าจะเป็นผู้กำกับเบอร์ต้นๆ ที่เรานึกถึง แนวแบบดิบเถื่อน ทุกอย่างดูแบบดิบๆ ซึ่งก็ถูกทางเขา

 

ความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับสตั๊นท์ พี่หนึ่ง”  (ชัยยศ ชัยยศบูรณะ Stunt Driver)

ผมเจอพี่หนึ่งบ่อย ในงานภาพยนตร์หรือโฆษณา ในหนังเรื่องนี้พี่หนึ่งเป็นดับเบิ้ลเรื่องการขับรถให้ผม คือพี่หนึ่งจะเป็นดับเบิ้ลในซีนที่จะต้องขับรถแนวดริฟต์ หวาดเสียว หรือขับรถสตั้นท์ พวกรถคว่ำ รถไฟไหม้ รถอะไรพวกนี้ ทั้งหมดที่ว่าเป็นซีนที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะตัว ซึ่งพี่หนึ่งก็เป็นดริฟต์ระดับประเทศ ระดับโลก เพราะฉะนั้นเห็นหน้าพี่หนึ่งก็สบายใจได้ว่ามีซีนเท่ๆ อีกแล้ว

หนังเรื่องนี้ต้องการสื่อสารอะไรกับผู้ชม

ในมุมมองผมหนังเรื่องนี้ รวบรวมเจเนอเรชั่นของมนุษย์ไว้เยอะมาก ทั้งเด็กอย่างยูเค  ซึ่งในเรื่องคือ ดวงกมล (รับบทโดย ยูเค-ณัฐธยาน์ องค์ศรีตระกูล) เมจิ (รับบทโดย มายด์- อาทิตยา ตรีบุดารักษ์) วันชัย (รับบทโดย เวียร์-ศุลวัฒน์ คณารศ) สิน (รับบทโดย ดู๋-สัญญา คุณากร) แบงค์ (รับบทโดย ธีรภัทร โลหนันทน์) ทุกคนล้วนสะท้อนในเรื่องของเจนเนอเรชั่น แนวคิดต่างๆ ของแต่ละคน อาชีพแต่ละอาชีพ วัยที่ไม่เหมือนกันแต่ต้องมาอยู่ด้วยกัน  มาหนีตายด้วยกัน ทำให้แต่ละคนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน สำหรับตัววันชัยก็เป็นคนที่มาจากต่างจังหวัดแล้วก็มาเรียนรู้กับคนอื่นนี่แหละ แล้วตัววันชัยเองก็จะเป็นคนที่พร้อมจะช่วยคน แต่ตัวเมจิ สิน แบงค์ หรือ ดวงกมล เขาก็จะมีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน อย่างเมจิเขาจะคิดอีกแบบ เขาสู้ชีวิต ส่วนเด็กที่อยู่ในบ้านรวยก็จะคิดอีกแบบ ทำให้เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ เด็กเองก็เรียนรู้เรา จริงๆ เราก็มีคุณค่าได้ เราช่วยเหลือคนอื่นได้ คือทุกอย่างแต่ละคนมันโตมาไม่เหมือนกัน แต่พอแต่ละคนมาอยู่ด้วยกัน ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ก็ดึงความไม่ดีของตัวเองออกไปและดึงความดีของคนอื่นเข้ามา มองด้วยความเข้าใจ ไม่ตัดสินกัน ทุกคนโตมาไม่เหมือนกัน แล้วเราต้องเอาตัวรอดไปด้วยกัน คุณจะยอมที่จะเป็นตัวเอง หรือคุณยอมที่จะเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในภาพยนตร์เรื่องนี้มันก็จะได้เห็นมุมมองของแต่ละคนผ่านตัวแสดงว่าถ้าเรามาเจออะไรแบบนี้ เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือเราจะเป็นอะไร  เราจะยอมรับฟังคนอื่น หรือจะไปในทิศทางไหน คุณจะตายหรือคุณจะรอดก็ขึ้นอยู่ที่คุณตัดสิน ผมคิดว่า คนดูน่าจะได้อะไรตรงนี้ไป และที่ได้แน่ๆ คือความสนุกครับ

 

เหตุผลที่อยากให้ชมหนังเรื่องนี้

เหตุผลที่ไม่ควรพลาดมันเยอะมาก หลักๆ เลยคือเพราะเป็นภาพยนตร์ที่มันส์มาก และเป็นภาพยนตร์แอคชั่นเต็มรูปแบบเรื่องแรกของ Netflix  ประเทศไทย แสดงโดยผมและนักแสดงคุณภาพอีกคับคั่ง กำกับโดยพี่โขม โปรดักชั่นก็ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นเหตุผลที่ทุกคนจะไม่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้  ไม่รู้จะพูดว่ายังไงดี แต่ดูแล้วคุณจะได้อะไรมากกว่าหนังแอคชั่นที่คุณคิดว่ามันจะมีแค่ความสนุก ความมันส์ ความหนีตาย แต่มันมีอีกหลายอย่างที่สะท้อนมุมมองในแต่ละคน จะรอด ไม่รอด ก็มาลุ้นกันครับ

 

 

ดู๋สัญญา คุณากร รับบท สายสิญจน์

 

เรื่องราวของ Bangkok Breaking: ฝ่านรกเมืองเทวดา

เรื่องราวของความบังเอิญในเหตุการณ์ที่ทำให้คนบางส่วนมาเจอกัน แล้วก็อยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ทั้งคนที่มีอาชีพเป็นกู้ภัยที่เห็นแก่คนอื่น อยากช่วยคนที่กำลังเดือดร้อนหรือบาดเจ็บ ซึ่งสังคมจะดีถ้ามีคนแบบนี้เยอะๆ คนที่ 2 เป็นพริตตี้ที่เป็นพยาบาลฝึกหัด คนที่ 3 คือผม รับบทเป็นสายสิญจน์ มีชื่อในวงการของเขา ทั้งวงการพนัน วงการโจร เรียกว่า “สินหนึ่งนัด” เมื่อสินจะยิงใครไม่ต้องยิงนัดที่สอง สามารถจบเรื่องได้ตั้งแต่นัดที่หนึ่ง แต่สินก็อยากจะเลิกแล้วไปขับแท็กซี่แทน เขาเองก็มีเด็กที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโตอายุประมาณ 20 กว่าปี ซึ่งเด็กคนนั้นโตมาแล้วก็อยากเป็นอย่างสินบ้าง อยากจะเป็นจ้าวยุทธจักรในวงการนี้ แต่สินมองว่าไม่ควร พยายามไม่ให้เด็กหนุ่มคนนี้เติบโตไปเป็นเหมือนเขา ซึ่งทั้ง 4 คนนี้บังเอิญมาเจอกันในตอนที่สินจะรับงานสุดท้ายที่ไม่ใช่งานฆ่า แต่เป็นงานจับคนไปเรียกค่าไถ่ โดยที่ไม่รู้ว่าเป้าหมายเป็นเด็กผู้หญิงที่เป็นลูกผู้มีอิทธิพล มีผลต่อหลายๆ อย่างมาก ฝั่งที่อยากได้เด็กก็มีหลายพวกที่มีอาวุธ มีอำนาจ แล้วก็มีความชั่วอยู่ในสันดานมากพอที่จะทำอะไรก็ได้ ระหว่างการไล่ล่าการหนีก็ไปพัวพันสถานการณ์เช่น ม็อบ เข้าไปในพื้นที่ที่ไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่ง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความรัก ความเกลียด ความอยากรักษาชีวิต ความอยากเจริญก้าวหน้า และความกลัวที่หล่อหลอมให้เกิดเรื่องเรื่องนี้ขึ้นครับ

 

คาแรกเตอร์ที่ได้รับในเรื่องนี้เป็นอย่างไร

ตัวละครที่ผมเล่นชื่อเต็มคือ “สายสิญจน์” ชื่อดีเป็นมงคล เวลาเรากลัวอะไรเราก็ผูกสายสิญจน์ บางคนไว้กันผีและสิ่งชั่วร้าย ในศาสนาพุทธก็มีการผูกสายสิญจน์เป็นเครื่องเตือนใจ เตือนตัวเองให้นึกถึงคำสอนของพระที่จะสอนให้เข้าใจชีวิต แต่ในเรื่องตัวละครตัวนี้จะถูกเรียกว่า “สิน” เฉยๆ คล้ายกับ “ศีล” ก็เป็นเรื่องดี เป็นข้อกำหนดที่ไม่ควรละเมิด เรื่องที่ไม่ควรกระทำ มีศีลเป็นตัวบังคับ แต่ตอนเขียนชื่อนี้เป็นภาษาอังกฤษก็คือ “Sin” คือบาป ตัวละครตัวนี้จึงมีทั้งสองด้านที่แข็งแรงทั้งคู่ ในจิตใจไม่อยากทำอะไรที่ไม่ดี แต่อาชีพที่ทำตั้งแต่หนุ่มก็คือ Hitman หรือผู้ที่รับรายได้จากการทำลายชีวิตคนอื่น แต่มีข้อแม้ว่าจะไม่ทำร้ายเด็กหรือผู้หญิง เขาจะไม่รับงานแบบนั้น จนเมื่อเขาเข้าสู่วัยสูงอายุและกำลังฝั่งดีก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาก็อยากไปทำอาชีพอื่นแม้ว่ามันจะลำบากกว่า จากที่พูดคุยกับผู้กำกับ (ก้องเกียรติ โขมศิริ) และทีม ได้ความว่า เมื่อสินแก่แล้วจึงเข้าใจว่าความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงิน แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณภาคภูมิใจในสิ่งที่คุณกระทำไปในชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดรึเปล่า เป็นหลักธรรมะหรือธรรมชาติว่า อะไรที่คุณได้กระทำไปแล้วในอดีต มันก็มีโอกาสจะย้อนกลับมาส่งผลถึงปัจจุบัน สถานการณ์ในเรื่องก็จะเป็นสิ่งที่มาทดสอบสิน ว่าระหว่างคนดีกับคนชั่วเขาจะเลือกเส้นทางไหนให้กับชีวิตมากกว่ากันครับ

 

เหตุผลที่ตัดสินใจรับบทนี้

A: ส่วนใหญ่ผมทำงานเป็นพิธีกร ผู้ดำเนินรายการ มีโอกาสได้ทำงานแสดงบ้างก็ได้จะรับบทเป็นคนธรรมดาที่ถูกกระทำ เพราะบุคลิกไม่ใช่คนที่จะไปทำอะไรใครได้ ไม่เคยรับบทผู้กระทำหรือคนไม่ดี แต่บทนี้ที่ได้รับ ไม่ได้ตัดสินว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี ท่ามกลางการกระทำผู้อื่นก็ยังเป็นคนที่คิดที่จะทำชีวิตตัวเองให้อยู่ในทางที่ดีกว่าเดิม แม้ว่าสถานการณ์รอบข้างที่จะส่งผลให้เขาทำได้หรือไม่ได้ก็ตาม ซึ่งบททำให้เห็นหลายด้านของตัวละคร ซึ่งใกล้เคียงกับความเป็นจริงของมนุษย์ทุกคนที่เป็นอยู่ เพียงแต่ว่าคุณมีความละอายใจ ความระมัดระวังที่จะไม่ให้อีกด้านมันแข็งแรงกว่าหรือเปล่า สำหรับผมนี่คือโอกาสที่ไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต พอฝ่ายแคสติ้งติดต่อมาก็ดีใจขนาดว่า จริงหรือนี่ มันเกิดขึ้นได้เหรอ ลูกผมก็บอกว่า หน้าพ่อไม่น่าไปทำอะไรใครได้นะ พอได้คุยกับผู้กำกับก็ค้นพบว่าเขาไม่เอาหน้าพ่อนั่นแหละ เขาจะทำให้หน้าพ่อกลายเป็นอย่างอื่น แล้วมาลองดูกันว่าผมจะสร้างความรู้สึกนั้นได้จริงหรือไม่ เท่าที่เราเคยสัมภาษณ์ผู้คนที่เคยถูกคุมขังในข้อหาร้ายแรงมาก่อน พวกเขาก็ไม่ได้มีหน้าตาแบบโจรในหนังไทยนะ จริงๆ มันคือสิ่งที่อยู่ภายในมากกว่า ผมดีใจมากที่ได้คุยกับผู้กำกับว่าความเห็นผมต่อบทเป็นยังไง คนที่อายุมากแล้วก็อยากเป็นคนดีแล้วด้วย เมื่อมาเจอสิ่งเหล่านี้จะรู้สึกยังไง มีการปรับแก้บทกันหลังจากที่เราคุยกันหลายครั้ง กลายเป็นบทที่ผมรู้สึกว่ามันกลมมาก มีหลายด้าน แล้วก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ซึ่งผมก็ต้องพยายามรับผิดชอบมนุษย์คนนี้ให้มีมิติของความเป็นจริงตรงนี้ด้วยครับ

คาแรคเตอร์ของสินเหมือนหรือแตกต่างจากตัวเองอย่างไร

A: ต่างเยอะ ผมกับทุกท่านน่าจะรู้สึกเหมือนกันคือ เราไม่คิดถึงการทำร้ายผู้อื่นอยู่แล้ว อย่าไปพูดถึงการฆ่าเลย แต่ตัวละครตัวนี้ตอนอายุวัยฉกรรจ์ เขาไม่เชื่อว่ามีคนดีอยู่ในโลกด้วยซ้ำ เขาเชื่อว่าใครถือโอกาสและใจเด็ดกว่า ทักษะเหนือกว่า คนคนนั้นถึงจะได้ทุกอย่างไป ใช้ชีวิตโดยไม่ได้ใส่ใจว่าสิ่งที่เขาทำไปจะส่งผลต่อใครบ้าง จริงๆ มันก็คงเป็นชีวิตจริงของคนที่อยู่ในวงจรแบบนี้ ที่มีแต่ความรุนแรง ฆาตกรรม การหักหลัง นี่คือความแตกต่างที่ไกลกันมาก แต่ผมก็เชื่อว่าในสังคมมีเรื่องแบบนี้ แล้วในขณะที่เราเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต้องเป็นคนแบบนี้ให้ได้ แต่ส่วนที่ใกล้ตัวเราก็คือเมื่อสินอายุมากขึ้น เขาเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดว่าชีวิตมนุษย์ถึงจุดหนึ่งจะมีหนทางคลี่คลาย ไม่มีใครเป็นอย่างเดิมตลอดเวลา ถ้าคุณเคยดูการสัมภาษณ์เสือต่างๆ ที่เคยเป็นโจร พออายุมากเขาก็เข้าใจว่าสิ่งที่เคยทำมันไม่ได้ดีงามหรอก บางคนพูดขนาดว่า ถ้าย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงได้ก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนั้น เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับที่ผมคิดว่ามนุษย์เราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ถ้าอยากจะเปลี่ยน แต่สถานการณ์หลายอย่างทำให้ต้องต่อสู้กับคน พื้นเพ บางอย่างไปด้วย เหมือนถ้ามีเสือตัวหนึ่งที่ตั้งใจจะไม่กินใครแล้ว แต่โดนใครมาตบหลัง เสือตัวนั้นก็อาจจะหันไปกัดตายโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้

 

มีการเตรียมตัวอย่างไรเพื่อรับบทในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นเรื่องแรกที่เคยเล่น

A: โชคดีที่ผมยิงปืนมาเกิน 20 ปี แต่ว่าไม่ได้ไปต่อสู้อะไรกับใครขนาดนั้น ฝึกหัดในระบบปืนปกติ หรือปืนเชิงต่อสู้อย่างการแข่งขันรณยุทธ์ก็เคยได้ฝึกซ้อมมาบ้าง สิ่งที่ต้องเตรียมมากๆ สำหรับผมคือวิธีคิดของคนที่มองคนเป็นแค่เป้า ที่ควรจะทำด้วยความรู้สึกแบบนั้น แล้วข้อดีของเรื่องนี้คือมันไม่ใช่การต่อสู้กันแบบมือเปล่าจนเยอะ มันมีเครื่องทุ่นแรงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ แต่ผมว่ามันยากตรงความไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกของตัวละครมากกว่า ว่าเขาทำสิ่งนั้นด้วยความคิดที่คนธรรมดาแบบเราๆ ไม่ได้คิดแบบนั้น ซึ่งผมต้องสร้างความรู้สึกหรือความคุ้นเคยแบบนั้นให้มาก

 

เล่าถึงการเปลี่ยนโฉมตัวเองเพื่อเป็นสิ มีการเตรียมตัวอย่างไร นานไหม

ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า ผมรู้สึกว่าทำให้ผมเป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้คนรู้สึกไปกับตัวละครเรา ว่าทำไมคนนี้เป็นแบบนี้ เพราะเขาก็ไม่ได้เป็นคนรายได้ดีที่จะมาสนใจสภาพร่างกายตัวเองเท่าไหร่ ซึ่งผมว่าน่าสนใจเพราะคนเห็นเราแบบเนี้ยบๆ มาเยอะแล้ว แต่อันนี้ไม่เนี้ยบ แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมมีหน้าที่ถ่ายทอดสิ่งที่ผู้กำกับเขาคิดเอาไว้ให้เป็นอย่างนั้น แต่หน้ายังไม่หนักเท่าร่างกายที่ต้องเปลี่ยนเยอะเลย สินไม่ใช่คนที่สุขสบายมาตั้งแต่แรก เป็นอดีตมือปืนรับจ้าง นักเลงคุมบ่อน สำมะเลเทเมา เหมือนเราเห็นคนที่ไม่ได้อยากเข้าสังคม ไม่ได้อยากจะคุยกับใคร ทุกวันที่มาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกนัดก่อนนักแสดงหลักคนอื่นทั้งหมด ที่มาก่อนเพราะว่าต้องใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงในการทำให้มีสภาพเป็นแบบสิน และที่รู้สึกว่าสภาพภายนอกเป็นสินอย่างสมบูรณ์คือวันฟิตติ้ง เจอคุณพิง ลำพระเพลิง (ภูพิงค์ พังสอาด รับบท สุเมธ) ผมก็เข้าไปสวัสดี ถามว่าเล่นเรื่องนี้ เขียนบท หรือว่าทำอะไร คุณพิงตอบกลับสั้นๆ แค่ว่ามาแสดง แล้วก็ไม่ได้คุยอะไรต่อ ผมก็รู้สึกว่าเขาดูห่างเหินมาก พอผ่านไปสักพักเขาถึงวิ่งเข้ามาคุยกันใหม่ หลักๆ คือเขาจำผมไม่ได้ด้วยลุคที่เราแต่ง ขนาด คุณนนทรีย์ นิมิบุตร มาเยี่ยมที่กองถ่ายก็จำผมไม่ได้เหมือนกันตอนแรก

 

 เล่าถึงประสบการณ์ในการถ่ายฉากแอ็คชั่น เช่น ฉากบนรถ ไล่ลา ไล่ยิง รวมถึงประสบการณ์ในการถ่ายวันเทค (One Take)

มีหลายฉากที่ถูกตามล่า ปัญหาของกลุ่มนี้คือหนีกันอยู่ 5 คน ผู้ใหญ่ 4 เด็ก 1 มีกู้ภัยที่เป็นคนธรรมดาจิตใจดีที่แน่นอนก็ไม่อยากทำอะไรใครอยู่แล้ว มีพยาบาล แล้วก็เด็ก แปลว่าระบบป้องกันตัวของรถคันนี้มีแค่สินคนเดียว และระบบโต้กลับของรถคันนี้เป็นระบบที่แข็งแรงมาก แม้จะมีคนเดียว ปืนกระบอกเดียวก็จู่โจมได้แม่นยำทุกอย่าง ยิงอะไรประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง เพราะว่าในเรื่องทักษะเขาเหนือกว่าฝั่งที่มาตามไล่ลา มีฉากที่ยิงออกไปทั้งจากในรถและนอกรถ มีฉากผู้กำกับต้องการถ่ายครั้งเดียวไม่มีการคัท เริ่มจากรถฝ่ายที่ตามล่าเขาวิ่งมาประกบข้างเพื่อระดมยิงเข้าใส่ในรถ ฝั่งผมก็ไปรอที่ประตูเลย การที่มันจะยิงเราได้ก็ต้องมาอยู่ขนานกับเรา เราเป็นเป้ามันก็เป็นเป้าเราเหมือนกัน เมื่อกล้องเข้ามาถึงรถ เราก็เปิดประตูออก สิ่งที่ฝั่งนั้นมีคือจำนวนคน ปืน และกระสุน แต่สิ่งที่พวกนั้นไม่มีคือความแม่นยำ เราถ่ายแบบ single ไม่คัทเลยตั้งแต่ไล่กัน ยิงกัน จนระเบิด ทั้งหมดจะต้องถ่ายครั้งเดียว ถ้าไม่ได้ต้องเริ่มใหม่หมด ซึ่งซับซ้อนมากเพราะเราต้องรู้ว่ารถต้องถึงตรงไหน เลี้ยวตรงไหน แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผิดแม้แต่อย่างเดียวก็ต้องทำใหม่แล้ว ถึงจะเป็นทางโล่ง แต่ก็มีเลี้ยวไปมาตามภูมิประเทศ  อีกฝ่ายต้องประกบแล้วยิงกัน ทั้งหมดต้องอยู่ในการทำงานของกล้อง พวกเราซ้อมล่วงหน้าประมาณ 1 วันสำหรับฉากนี้ทุกคน อีกวันจึงจะเป็นวันถ่าย ก็ดีมากตรงที่เพียงไม่กี่ครั้งก็ได้เลย

 

ความสมจริงของสถานที่ถ่ายทำและการตกแต่งในภาพยนตร์เป็นอย่างไรบ้าง

A: ผมเดินเข้ามาในเซ็ตตึกร้างวันแรกพูดเลยว่าน่าสงสารที่นี่ เราเข้าใจว่าประเทศเรามีมรสุมทางเศรษฐกิจ มีโครงการที่ไม่รอดเยอะทั้งของรัฐและเอกชน ที่นี่น่าจะเป็นอนุสรณ์สถานของเหตุการณ์เหล่านี้ นอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยไม่ได้แล้ว ก็เป็นเหมือนซากปรักหักพัง ขยะเต็มไปหมด ผมเดินเข้ามาแล้วพูดเลยว่านี่เรามาถ่ายกันตรงนี้ มันมีที่อย่างนี้ด้วยเหรอในเมืองไทย อีกความคิดคือทำไมเขาไม่จัดการขยะเลย มันดูน่ากลัวมาก แต่ทีมอาร์ตบอกว่าไม่ใช่พี่ ทั้งหมดนี่คือของกองถ่ายเราทำไว้ มันเป็นแค่เปลือกอาคารคอนกรีตในหนองน้ำท่วมขัง สรุปว่าความสกปรกความน่ากลัวทั้งหมดที่เห็นคือการสร้างขึ้นมาโดยทีมอาร์ต ผมแบบเหลือเชื่อมาก เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งเลย ไม่ใช่แค่ส่วนที่กล้องจะถ่ายด้วย วันแรกที่ถ่ายมีนักแสดงประมาณ 50 คนทำเป็นคนเร่ร่อน ปกติเรามักจะเห็นนักแสดงสมทบแต่งแบบนิดหน่อยเพราะอยู่ไกลๆ ถ่ายไม่เห็น แต่เรื่องนี้คือแต่งเต็ม ยังดีที่ถ่ายในสถานที่ปิด ไม่มีคนนอกอยู่ในนี้เลย ผมว่าเป็นทีมที่พิถีพิถันมาก ตั้งใจทำทุกรายละเอียดให้รู้สึกได้จริง สมมติฉากที่รถเราเข้ามาในตึกนี้แล้วในบทคือคนอื่นๆ จะต้องกลัวมาก เพราะมีคนมาล้อมไว้หมด พอถ่ายจริงไม่ต้องแสดงเลย เพราะมันน่ากลัวจริงๆ มีคนมาเขย่ารถ ปีนรถ รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่คุณไม่รู้จะทำยังไงกับมัน หรือฉากคลังยาของดาร์ลี่ (รับบทโดย เดย์ ไทเทเนียม) ตัวร้ายในเรื่องก็ดูจริง คิดภาพว่าถ้ามีคนเอาคุณมาปล่อย จะรู้สึกเลยว่าฉันจะรอดไปจากที่นี่ไหม

 

อธิบายสถานที่ตึกร้าง (ฉากเคหะชุมชนรวมใจ) นี้เพิ่มเติม

สถานที่ถ่ายทำที่เป็นตึกร้างนี้ ในเรื่องเป็น เคหะชุมชนรวมใจ ก็เป็นอาคารเก่าที่เจ้าของเอกชนก็อยากไล่คนที่อยู่ให้ออกไปจะได้เอาที่ตรงนี้ไปขาย แต่คนที่อยู่มาก่อนก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่อื่นตรงไหน เขาก็ไม่ยอมไป มันก็เลยเกิดเป็นม็อบสู้กันระหว่างฝ่ายเจ้าของกับฝ่ายคนอยู่อาศัยเดิมที่อยู่มา 20-30 ปี เมื่อมีม็อบก็ต้องมีเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนมาห้าม นี่คือส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่ 4-5 คนนั้นได้เจอ แล้วหลุดเข้าไปอยู่ในแวดวงที่เขาทะเลาะกัน

 

ฉากที่ชอบมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้

ผมชอบทุกฉากที่ผมได้สังหารชีวิตให้ดับดิ้นลงไป ฟังดูโหดใช่ไหม ผมนับว่าถ่ายไปกี่วัน สังหารไปกี่ชีวิต เวลาดูภาพยนตร์แล้วเราจะเห็นว่า เปรี้ยง ตาย ตาย ตาย แต่ถ้ามองในความจริง คนที่ตายมีพ่อ มีแม่ มีลูก มีเมีย ต่างๆ จะรู้สึกเลยว่ามันเรื่องใหญ่ ต่อให้เป็นลูกน้อง เป็นใครก็ไม่รู้ แต่เขาไม่ได้เกิดมาตัวคนเดียวแน่ๆ และสิ่งที่คุณทำไปมันกระทบต่ออะไรบ้าง นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึก และผมรู้สึกกับตัวละครว่าในวันนี้สินไม่ได้อยากทำ แต่ต้องทำให้ดีที่สุด ซึ่งแปลกเพราะปกติคุณจะทำอะไรได้ดีที่สุดเมื่อคุณอยากทำ แต่สินต้องทำเพราะไม่ทำก็ตาย เขาอยากเลิกอาชีพนี้มาตั้งนานแล้ว อยากจะเก็บเงินไปอยู่ต่างจังหวัด เพราะการขับแท็กซี่ในกรุงเทพก็อยู่ได้แค่ในระดับหนึ่ง เคยมีวิถีชีวิตในเมืองหลวงแบบที่มีเงินเยอะกว่านี้ด้วย แต่ไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบ ก็ไม่อยากจะอยู่แบบนั้นอีก แต่สิ่งที่คุณไม่อยากทำนั้นเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้คุณมีชีวิตออกไปจากสถานการณ์นี้ได้ คุณจำเป็นจะต้องทำมันอีกครั้งหนึ่งให้ดีที่สุดเพื่อจะได้มีชีวิตไปต่อ แต่ก็ไม่แน่ มันอาจจะมีบางอย่างที่เหนือกว่าชีวิต ถ้าคุณเลือกจะสละเพื่อบางอย่างได้ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้

ความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับ

เป็นเรื่องแรกที่ได้ร่วมงานกัน เซอร์ไพรส์มาก ก็ถามคุณก้องเกียรติ (ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับ) ว่าทำไมชวนผมไปเล่นเรื่องนี้ คือเขาดูใน Instagram ผมเห็นว่าผมมียิงธนู ยิงปืน ต่อยมวยกับลูก เขาก็เลยบอกว่า เอาคนนี้ดีกว่า แปลกดี คนดูต้องไม่เคยเห็นผมทำสิ่งเหล่านี้แน่ๆ เลย ซึ่งตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าทำแล้วจะออกมาเป็นยังไง แต่ผู้กำกับบอกว่าอยากได้อะไรบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผมว่าเขาเป็นคนสนุกดีนะ มีบุคลิกของคนหลายแบบ แล้วก็รับฟังว่า คุณคิดว่ามันเป็นยังไง คุณคิดว่าสินจะทำยังไง งั้นลองเปลี่ยนเป็นแบบนี้ดีกว่า บางทีก็ได้ทดลองด้วย ลองทำแบบต่างๆ ดู ทุกอันจะบอกว่าเพราะอะไร รู้สึกอะไร ถึงได้พูดแบบนี้ ทำแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้เจอคุณก้องเกียรติแล้วก็ครั้งแรกที่ได้แสดงภาพยนตร์ในบทบาทที่ไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิตครับ

 

ประสบการณ์ในการร่วมงานกับนักแสดงคนอื่นๆ

พี่เวียร์ (ศุกลวัฒน์ คณารศ รับบท วันชัย) เกือบจะเหมือนวันชัยในเรื่องเลย เป็นพ่อหนุ่มแสนดี ไม่บ่น ไม่ง่วง จะถ่ายยังไงก็ได้ เขาก็คือพี่เวียร์ที่ใส่เสื้อกู้ภัยก็เป็นวันชัยแล้ว ไม่ต้องแต่งอะไร เราก็รู้สึกว่าเวียร์บ่นง่วงบ้างสิ พี่ยังง่วงเลย แล้วเวียร์ดูดีมาก มายด์ (อาทิตยา ตรีบุดารักษ์ รับบท เมจิ) ก็เหมือนเด็กน้อยพลังเยอะ นั่งๆ ก็ร้องเพลง ตอนเจอกันครั้งแรกถามผมว่า พี่ไม่รู้จัก 4EVE เหรอคะ เดี๋ยวหนูเต้นให้ดู เป็นคนที่แบตเตอรี่ดี เล่าให้ฟังว่าถ่ายจบแล้วต้องไปร้องเพลง เต้น ถ่ายแบบต่อ เราก็คิดว่า ขยันนะเด็กคนนี้ เขาก็ว่า อ๋อ หนูไม่ได้ขยันค่ะ หนูอยากรวย ก็ตลกดีครับ ส่วนน้องยูเค (ณัฐธยาน์ องค์ศรีตระกูล รับบท ดวงกมล) เป็นเด็กน้อยที่เราจับมาในเรื่อง เป็นเด็กน่ารัก ผมทายว่าเด็กคนนี้โตขึ้นต้องเป็นหมอ แต่เขาอายุยังน้อย 14 ปียังค้นหาได้อยู่ ข้อดีของเขาคือเป็นเด็กที่ใส่ใจการเรียน เล่าว่าเมื่อก่อนหนูเรียนเก่งมากเลย แล้วพอตอนนี้การเรียนตกลงปั๊บ หนูรู้สึกว่าก็ต้องห่วงการเรียนมากขึ้น อีกคนคือฟลุค (ธีรภัทร โลหนันทน์ รับบท แบงค์) เป็นคนที่พยายามมากนะ เหงื่อแตก อินกับการแสดง เป็นมนุษย์ซ้อมหนัก ผ่านบ้างไม่ผ่านบ้าง เราก็จะคอยให้คำแนะนำ บอกให้ใจเย็นๆ มีฉากที่ผมสงสารฟลุค คือต้องโดนผมตบหัวในเรื่อง ไม่ผ่านก็ต้องทำเรื่อยๆ ฟลุคเขาก็บอกพี่ดู๋ครับ เอาจริงๆ ตบแรงๆ เลยครับ คือสปิริตเขา แต่ด้วยความที่เราไม่อยากจะหลายเทค เราก็ต้องใส่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เสียงดังสะท้านไปถึงเวียร์เลยทีเดียว พอตบเปรี้ยงเสร็จ เวียร์หันมาบอก พี่ดู๋ผมว่าเทคนี้ได้ ผมถามว่าเขารู้ได้ไง เวียร์บอกก็เสียงมันดังถึงผมเลย

 

ความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับ Netflix เป็นครั้งแรก

เป็นประสบการณ์แปลกใหม่หลายอย่าง ตอนแรกเขาเชิญมาประชุมซึ่งไม่เกี่ยวกับการถ่ายทำใดๆ แต่ต้องมารับทราบกติกาที่ Netflix ใช้กับกองถ่ายทั่วโลกถึงความเท่าเทียมและความดีงามที่ควรจะเป็นในการทำงานร่วมกัน ผมว่าดีนะ แปลกใหม่มาก แล้วกองถ่ายนี้เป็นกองขนาดใหญ่มาก เฉพาะทีมงานนี่เกือบร้อย ถ้ารวมนักแสดงสบทบอีกประมาณ 400 คือเรายืนอยู่ท่ามกลางคน 500 คนที่ทำงานด้วยกันอยู่ น่าสนใจมากว่ากติกามีไว้ทำไม คือมีไว้ให้ทุกคนทำงานอย่างปลอดภัย อย่างมีความสุข อย่างไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน แล้วก็ให้ได้งานที่ดี ผมเดาว่าคอนเซปต์คืออย่างนี้ เขาก็สร้างกลไกด้วยว่า อย่าทำอย่างนี้ อย่าให้ร้าย สัพยอกกันด้วยการเหยียดไม่ว่าความแตกต่างของมนุษย์จะมีอะไรบ้าง เวลาเราเห็นองค์กรไหนมีวิธีคิดที่ดี ผมก็อยากจะเผยแพร่ มันคือเรื่องดีที่ได้เห็นว่า กฏความปลอดภัยเป็นแบบนี้ เพื่อความดีงามของการทำงาน ผมว่ามันเป็นเรื่องดีครับ

 

เหตุผลที่ห้ามพลาดภาพยนตร์เรื่องนี้

เหตุผลเดียวที่คุณจะสามารถพลาดหนังเรื่องนี้ได้ก็คือคุณไม่มี Netflix ถ้าคุณอยากเพลิดเพลิน อยากสนุก อยากได้อะไรสักอย่างในการใช้เวลาสองชั่วโมงกว่า ผมว่าคุณจะได้สิ่งนั้นครับ

 

Bangkok Breaking: ฝ่านรกเมืองเทวดา ต้องการบอกอะไรกับผู้ชม

ผมขอไม่เสนอความคิดผมแล้วกัน แต่ผมได้คุยกับผู้กำกับ (ก้องเกียรติ โขมศิริ) แล้วผมชอบที่เขาพูดว่า เขาไม่ถนัดทำหนังที่ซับซ้อน ปราดเปรื่อง แต่อยากทำหนังที่ให้คนที่กำลังมองหาความสนุก ความตื่นเต้น ดีใจเสียใจในบางอารมณ์ เกิดความผูกพันกับอะไรบางอย่างแล้วได้เห็นพัฒนาการของสิ่งนั้น อยากเห็นความดีความชั่วหักลบกัน เพราะชีวิตจริงเราก็ล้วนเจอกับสิ่งนั้น โดยทำให้มันเป็นแฟนตาซี เพลิดเพลิน ดูแล้วสนุกเต็มอิ่ม นี่แหละคือสิ่งที่เขาถนัดและอยากทำ ซึ่งผมชอบมาก

 

ฝากถึงผู้ชมให้ติดตามภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นเต็มรูปแบบเรื่องแรกของ Netflix ประเทศไทย

ภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากทีมที่มีประสบการณ์ ผู้กำกับที่มีประสบการณ์ มีทิศทาง มีความชอบแล้วก็ทำหนังแบบนี้ได้ดี ผมว่ามันเป็นวาระที่เหมาะสมมากที่เกิดขึ้น แล้วก็คงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็คือ ผมได้เล่นบทแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต มีเรื่องความขัดแย้งในความรู้สึกของตัวเอง ของตัวละครอย่างผม และของคนอื่นๆ แต่สินน่าจะขัดแย้งที่สุดแล้ว เป็นเรื่องของการสู้กันของความดีและความไม่ดีในจิตใจของมนุษย์ด้วยท่ามกลางความเพลิดเพลินตื่นเต้นไปกับแอ็คชั่นต่างๆ ที่มีตลอดเวลา และผมตั้งใจตีความและทำมันออกมาให้สมจริงมากที่สุด ด้วยวาระและความตั้งใจต่างๆ ผมเชื่อมันจะคุ้มค่ากับเวลาที่คุณใช้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่จะทำให้คุณได้ดำดิ่งและลอยขึ้นฟ้า พุ่งไปพุ่งมา สนุกสนาน ประทับใจ และได้เชื่อในความดีของมนุษย์ครับ

 

 

มายด์อาทิตยา ตรีบุดารักษ์ (มายด์ 4EVE) รับบท เมจิ

เล่าถึง Bangkok Breaking ฝ่านรกเมืองเทวดา

ฝ่านรกเมืองเทวดา เป็นเรื่องของกลุ่มคนที่ไม่รู้จักกันได้มาเจอกัน แล้วนำไปสู่สถานการณ์ที่ต้องเอาชีวิตรอดในเมืองที่ต้องเอาชีวิตรอดเหมือนกัน ทำให้คีย์เวิร์ดของเรื่องนี้คือการเอาชีวิตรอด ซึ่งพอเป็นแบบนี้ เราก็จะได้เห็นคาแรกเตอร์ นิสัย วิธีการตัดสินใจ และวิธีการคิดของตัวละครแต่ละตัว ที่พอมาอยู่รวมกันแล้วสนุก หนูชอบค่ะ

 

ประสบการณ์ของการแสดงหนังแอ็คชั่นเรื่องแรกว่าเป็นอย่างไร และมีการเตรียมตัวอย่างไร

หนูตื่นเต้นมาก เพราะเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่หนูแสดง และเป็นแอ็คชั่นเลย ตอนอ่านบทก็รู้แล้วว่าต้องเหนื่อยมากแน่ เลยค่อนข้างเตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องนี้หนักมากๆ เหมือนกัน เราเต็มที่กับมันมาก หนูตั้งใจอยากให้งานออกมาดีที่สุด ด้วยความที่เป็นหนังแอ็คชั่นและเป็นเรื่องของการเอาตัวรอด เพราะฉะนั้นเราจะสะบักสะบอมมากๆ เจอทั้งฝุ่น ควัน มีล้มลุกคลุกคลาน วิ่ง เหงื่อ ทุกอย่างที่จะทำให้ตัวเปื้อนเกิดขึ้นในเรื่องนี้ มีทั้งวิ่งหลบเอฟเฟ็กต์ อยู่บนรถที่ขับแบบน่ากลัวมาก แต่ก็สนุกมากๆ ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ที่ดีสำหรับหนูมาก มีความสุขมากค่ะ เรื่องนี้มีครบทุกอย่างจริงๆ เรามีทั้งขับรถ เรามีระเบิด เราวิ่งหนี คือครบจริงๆ มันคลุกฝุ่น เอาชีวิตรอดจริงๆ อยากให้ทุกคนได้ดูกัน และถ้าแฟนๆ 4EVE มาดู เธออาจจะไม่ได้เห็นเราสวยในเรื่องนี้นะ และถ้ามาดูภาพของมายด์ 4EVE ในเรื่องนี้ ก็จะได้เห็นคาแรกเตอร์ใหม่ๆ ของมายด์แทน คือเรื่องนี้ล้างภาพทุกอย่าง ค่อนข้างจะฉีกจากเรื่องที่เคยเล่นมาก่อน หรือฉีกจากคาแรกเตอร์ในวง คิดว่าน่าจะชอบกัน แล้วก็อาจจะไม่ชอบหน้าเรานิดหน่อยนะในเรื่อง แต่อยากให้มาดูค่ะ

 

อยากให้เล่าประสบการณ์ถ่ายวันเทค (One Take) ที่ทีมงานต้องสลับกล้องในขณะที่มายด์อยู่ในรถพยาบาล 

ซีนวันเทคคือซีนที่เป็นการทำงานกลุ่มขนาดใหญ่ เราถ่ายลองเทค (Long Take) ก็ต้องแบบเทคเดียวให้ผ่านทุกอย่าง ทั้งตัวนักแสดง พี่ๆ ตากล้อง หรือแม้แต่พี่ๆ คนขับรถสตั้นท์ คือทุกอย่างคิวต้องเป๊ะมากๆ แล้วการส่งกล้องจากรถคันนึงไปยังอีกคันที่กำลังขับอยู่ แล้วส่งเข้าไปในรถอีกคัน แล้วก็ส่งออก คือเป็นกระบวนการที่ใหญ่มาก แล้วก็มีเอฟเฟ็กต์ มียิงปืน คือมีทุกอย่างเกิดขึ้นในเทคเดียว ซึ่งเทคนั้น หนูตื่นเต้นมาก คือในชีวิตจริงเราก็ไม่เคยนั่งรถที่ขับน่ากลัวขนาดนั้นมาก่อน วันนั้นเราชื่นชมพี่ๆ ทุกคนมากๆ เพราะอย่างเราเป็นนักแสดง เรายังนั่งอยู่บนรถแล้วมีที่จับ แต่พี่ๆ ตากล้องเขาต้องห้อยตัวเองอยู่นอกรถ เพื่อรับกล้องแล้วก็ส่งต่อกัน วันนั้นนับถือสปิริตพี่ๆ ตากล้องมากๆ ทีมงานทุกคนสุดยอดมากค่ะ

 

นอกจากฉากแอ็คชั่นแล้ว สถานที่ในเรื่องว่ามีความสมจริงอลังการอย่างไรบ้าง

A: เรื่องนี้โลเคชั่นสมจริงทุกฉาก ทุกโลเคชั่นจริงๆ ทำให้เราเชื่อและมีส่วนช่วยให้ตัวเราเองสามารถเข้าถึงบทบาทได้มากขึ้นทุกครั้งที่เข้าซีน โดยพี่ทีมงานจะทำฉากเหมือนจริงมากทุกครั้ง เวลาหนูมาที่โลเคชั่นตอนเช้าๆ หนูจะหลับในรถตู้ พอตื่นขึ้นมาก็จะแบบ…อุ๊ย ทุกครั้งว่าที่นี่ที่ไหน นอกจากโลเคชั่นที่เซตได้สมจริงมากๆ ยังไม่ได้เซตแค่เล็กๆ แต่ทำเป็นเมืองๆ หนึ่ง มีซีนขนาดใหญ่ที่เก็บภาพให้ได้เห็นความน่ากลัว เราว่าทีมอาร์ตสุดยอดมากค่ะ

หตุผลที่ตัดสินใจรับบทนี้ 

คำตอบแรกเลยคือเพราะเป็นหนังแอ็คชั่น เราไม่เคยเล่นก็เลยอยากเล่น ประกอบกับเป็นภาพยนตร์ที่กำกับโดย พี่โขม (ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับ) เลยมาลองแคสต์ และได้เล่นจริงๆ ขอบพระคุณค่ะ

 

คาแรกเตอร์ที่ได้รับในเรื่องนี้เป็นอย่างไร

หนูรับบทเป็น “เมจิ” เป็นพยาบาลที่ไม่ได้เก่ง แล้วก็จับพลัดจับผลูมาอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเอาตัวรอดกับตัวละครอื่นๆ ในเรื่องนี้ เมจิเป็นคนค่อนข้างคิดอะไรไว ทำอะไรไว มีจุดยืนของตัวเอง เป็นพวกอยากทำอะไรทำ อยากพูดอะไรพูด ค่อนข้างจะเป็นคนเสียงดังที่สุดในเรื่องแล้ว มีความเข้าข้างตัวเองเล็กน้อย เน้นเอาตัวรอด  ถ้าถามว่าเมจิกับมายด์เหมือนหรือต่างกันยังไง ตอนแรกเลยที่หนูมาแคสต์ หนูรู้สึกว่าไม่เหมือน หนูไม่เหมือนเมจิเลย แต่พอได้เวิร์กช็อปแล้วได้เจอครูและพี่โขม ทุกคนบอกว่ามายด์มีความเป็นเมจิเยอะมาก  จนหนูคิดว่าหรือจริงๆ แล้วเราเหมือนเมจินะ แล้วพอยิ่งเล่นไป เราเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่เขาถึงพูดแบบนั้น มายด์กับเมจิค่อนข้างเหมือนกันในหลายจุด จุดที่เหมือนคงเป็นเรื่องความโผงผาง ไม่ค่อยคิด อยากพูดอะไรพูด ทำอะไรทำ ค่อนข้างเป็นคนทำอะไรไวเหมือนกัน หนูว่าตัวละครเมจิเป็นตัวละครที่มีจุดเปลี่ยนชัดมากๆ ในเรื่อง คิดว่าถ้าคนดูได้รู้จักตัวละครนี้แล้ว  น่าจะได้อะไรจากการเรียนรู้ของเขาในเรื่องนี้ และอาจจะเป็นสิ่งที่สามารถให้อะไรกับคนดูได้เหมือนกันค่ะ

 

ประสบการณ์ในการร่วมงานกับทีมนักแสดง

เป็นครั้งแรกที่ได้เจอพี่เวียร์ (ศุกลวัฒน์ คณารศ รับบทเป็น วันชัย) พี่ดู๋ (สัญญา คุณากร รับบทเป็น สิน) พี่ฟลุค (ธีรภัทร โลหนันทน์ รับบทเป็น แบงค์) และ ยูเค (ณัฐธยาน์ องค์ศรีตระกูล รับบทเป็น ดวงกมล) ถ้าพูดถึงแก๊งที่เราเจอกันบ่อยในเรื่องนี้ ก็สนุก สนุกกับทุกอย่าง เรารู้สึกว่าพี่เวียร์กับพี่ดู๋เป็นเหมือนพี่เรามากๆ เราเห็นผลงานการแสดงของเขามาตลอด พอมาเล่นด้วยกันรู้สึกว่าได้ประสบการณ์ในชีวิตมากๆ สำหรับหนูเลย ที่ได้เข้าบทกับพี่เวียร์ ได้เข้าซีนกับพี่ดู๋ ได้เรียนรู้จากการดูเขาแสดงอย่างใกล้ชิดระหว่างเล่นซีนไปด้วยกัน ซึ่งดีมากเลย แม้ว่าเวลาเจอพี่ดู๋ หนูจะกลัว เพราะในเรื่องนี้พี่ดู๋ถูกเปลี่ยนแปลงมากในเชิงภาพลักษณ์ คือเวลาปกติพี่ดู๋เขาดูใจดีมาก แต่ว่าในเรื่องนี้ตอนเห็นครั้งแรก คือ…นี่พี่ดู๋เหรอ แล้วในเรื่องเขาเล่นเป็นคนน่ากลัว ซึ่งพี่ดู๋ก็เล่นได้น่ากลัวจริงๆ พอเข้าฉากก็เป็นคนน่ากลัวเลย แต่พอสั่งคัท พี่ดู๋ก็น่ารักเป็นคุณพ่อที่น่ารักมาก อยากให้ได้ดูพี่ดู๋ในเรื่องกันค่ะ

 

ฉากที่ชอบที่สุด

ฉากที่ชอบมีเยอะนะคะ ถ้าต้องเลือก ส่วนใหญ่ซีนที่ชอบจะเป็นซีนใหญ่ๆ เราเห็นโปรดักชั่นของความเป็นหนังแอ็คชั่นแบบเต็มรูปแบบ ซีนที่ต้องมีคิวและจังหวะเอฟเฟ็กต์เป๊ะมากๆ นักแสดงทุกคนต้องเต็มร้อย  คือเราต้องซ้อมด้วยกันมาก่อนที่เราจะถ่ายซีนใหญ่ ตอนที่ถ่ายทำจริง ทุกคนต้องเต็มที่เกิน 100% ไปเลย เพราะว่าถ้าต้องถ่ายใหม่ก็คือรีเซ็ตใหม่ทุกอย่าง หนูมักจะชอบซีนอย่างนั้น เพราะรู้สึกว่ามันคือความสามัคคีก้อนเบ้อเริ่มที่เกิดขึ้นในกองถ่ายนี้  ถ้าให้ยกตัวอย่างก็คงเป็นซีนวันเทคที่ย้ายกล้อง ซีนนั้นนะ..สุดยอดเลยค่ะ

 

ความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับ

ทำงานกับพี่โขมสนุกมากเลย ตอนแรกหนูคิดว่าพี่โขมจะเป็นคนดุกว่านี้ พอเจอจริงๆ ได้ทำงานด้วยกันอยู่ในกอง พี่โขมเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพคนหนึ่ง พี่เขามีวิธีการทำงานที่ดี หนูว่ามันทำให้การทำงานง่ายขึ้น แล้วก็ค่อนข้างสนุกไปกับกองได้เรื่อยๆ นอกจากพี่โขมแล้ว พี่ๆ ทุกคนในกองใจดีและทำงานกันเป็นมืออาชีพมาก หนูก็เลยสนุก ดีมากๆ เลยค่ะ

ฝ่านรกเมืองเทวดา ต้องการบอกอะไรกับผู้ชม

สำหรับหนูเรื่องนี้ต้องการจะบอกเกี่ยวกับ การมองเห็นคุณค่าของความดี อาจจะฟังดูเป็นอุดมคติ แต่หนูรู้สึกว่าในเรื่องนี้มันถูกเล่าด้วยตัวละครตัวหนึ่ง แล้วด้วยความที่ตัวละครตัวนั้นเขามีความดีเป็นที่ตั้ง แล้วตัวละครอื่นๆ รอบตัวเขาก็มาจากหลากหลายที่ หลากหลายสไตล์ พอได้มาเจอกัน เรายิ่งเห็นการเปรียบเทียบวิธีการคิด หรือวิธีการแสดงออก มันเลยเห็นว่าจริงๆ การทำความดี การเป็นคนดีมันก็จับต้องได้ค่ะ

 

เหตุผลที่อยากให้ดู Bangkok Breaking: ฝ่านรกเมืองเทวดา

A: เพราะเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นเต็มรูปแบบเรื่องแรกของ Netflix ประเทศไทยที่จัดหนักจัดเต็มมากจริงๆ Mood and Tone ของหนังมันเท่ หนูอยากให้ทุกคนลองดู Bangkok Breaking: ฝ่านรกเมืองเทวดา เพราะตัวเรื่องมีทั้งความตื่นเต้น เลือดพล่าน ขับรถ ระเบิด เอฟเฟ็กต์ตูมตาม มีปม และสนุก นักแสดงทุกคนทำเต็มที่มากๆ อยากให้ทุกคนได้ลองดูว่ามันจะดุเดือดเลือดพล่านขนาดไหน ฝากติดตามกันนะคะ

 

ความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับ Netflix

การได้ร่วมงานกับ Netflix ครั้งแรก หนูรู้สึกว่าสุดยอดไปเลย คือด้วยความที่ Netflix คือสิ่งที่เราอยู่ด้วยทุกวัน คือเราดูหนังสตรีมมิ่งใน Netflix เยอะมาก แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งก็ได้เล่นหนัง Netflix นะ เป็นความดีใจของเรามากๆ และภูมิใจที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์จาก Netflix หนูคิดว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งเราตั้งใจกับการทำงานและการแสดงในหนังเรื่องนี้มากๆ ค่ะ

 

PHOTO: เนาวพจน์ โพธิเกษม