ณเดชน์ คูกิมิยะ กับสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวงการบันเทิง ความรักที่เรียบง่าย และสิ่งที่อยากบอกกับรุ่นน้อง

account_circle
event

 

 

คุยกับ ณเดชน์ คูกิมิยะ ถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวงการบันเทิง บทบาทสำคัญในฐานะนักแสดง รวมถึงความรักที่เรียบง่ายเมื่อมีญาญ่า อุรัสยา อยู่ข้างๆ 

ทักทายแฟนๆ สุดสัปดาห์ 

“สวัสดีครับแฟนๆ สุดสัปดาห์ ไม่เจอกับพี่ๆ สุดสัปดาห์นานมาก…. เมื่อก่อนผมเด็กสุดสัปดาห์เลยนะ เราเจอกันตั้งแต่ผมอายุ 17 ปี เวลาผ่านไปไวมาก เหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่เรายังจำเรื่องราวต่างๆ ได้ จำได้ว่าต้องไปสตูดิโอของสุดสัปดาห์ มีร้านอาหารชีวจิตอยู่ด้านหน้าทางเข้า” (ยิ้ม)

 

การเติบโตในวงการบันเทิงของ ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ 

“ผมว่าผมก็โชคดีที่ยังทำงานได้ สุขภาพแข็งแรง มีโอกาสที่ดี มีร่างกายที่แข็งแรง มีองค์ประกอบที่พร้อมให้ออกไปทำงานอย่างมีความสุข ปัญหาอื่นๆ เราแทบไม่ต้องมองมันก็ได้ ขอแค่มีร่างการแข็งแรง จิตใจมีความสุข ได้ออกไปทำงานที่เรารัก และยังได้เจอคนที่ได้เดินร่วมทางกันมานานตั้งแต่ผมเป็นเด็ก อย่างเช่น พี่ๆ สุดสัปดาห์ คือสักวันต้องวนกลับมาเจอกัน แล้วความรู้สึกเดิมยังอยู่ มันอเมซิ่งนะ

ผมว่าความรับผิดชอบของเราโตขึ้นตามวัย นิสัยก็ยังมีมุมเด็กบ้าง ด้วยภาระหน้าที่ทำให้เราโตขึ้นโดยปริยาย แต่ความเป็นเด็กซนข้างในก็ยังมีอยู่ครับ เก๊กหล่อแค่ในกล้อง  พอเลิกกองสั่งคัต ไม่ต้องคีพลุค ตัวตนของเราก็ออกมาเอง

คนเราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ด้วยประสบการณ์ แต่ตัวตนที่แท้จริงมันยูนีคนะ ถ้าไม่ได้เดือดร้อนคนอื่น การเป็นตัวเองไม่ใช่สิ่งที่แย่เลย ในภาพ ในพรีเซ็นเตอร์ บนบิลบอร์ด ดูหล่อ แต่ตัวจริงผมอาจจะเดินไปตดไป (หัวเราะ) พอได้ผ่อนคลายจากบริบททางสังคม เราแค่กลับมาเป็นตัวเอง”

(สุดสัปดาห์: นี่คือความน่ารัก เสน่ห์ ของแบร์รี่)

“ผมก็คิดอย่างนั้น เชื่อมาตลอดว่ามันคือเสน่ห์ ที่ทุกคน โอ๊ย… อะไรเนี่ย โว้ยยย (หัวเราะ)

เพราะการประกอบสัมมาอาชีพเราใช้น้ำพักน้ำแรง ต้องมีเงินมีรายได้ นอกเหนือจากรายได้ ผมมีครอบครัวเพิ่มที่ไม่ใช่ครอบครัวบังเกิดเกล้า นั่นคือครอบครัวองค์กรช่อง 3 เราได้เติบโตกับพวกเขา เราได้รับความอบอุ่น ความเอื้อเฟื้อ ได้รับความจริงใจ ได้รับการดูแลที่ดี ไม่ทอดทิ้งกันเมื่อผิดเขาสอนเรา ตักเตือน เพื่อให้เราเป็นพนักงานที่ดี ผมได้รับความรักจากช่อง 3 ทั้งจากผู้จัด พี่น้องนักแสดงด้วยกัน เพื่อนร่วมงานในกองถ่าย อบอุ่นมากครับ คือการทำงานสายครีเอทีพในกองถ่าย เราจะมีความบ้าบอ ไม่ปกติ สนุกสนาน เป็นชีวิตที่ไม่จำเจ เราเจอเรื่องสนุกทุกวัน ต่อให้มีปัญหา แต่สุดท้ายมันคือบรรยากาศที่พิเศษมาก”

 

สิ่งที่เคยเสียดายในชีวิตของณเดชน์

“เสียดายชีวิตตอนเด็กๆ ช่วงหนึ่ง เช่น เราไม่มีโอกาสไปทัศนศึกษากับเพื่อน ไม่ได้ไปทริปจบ ม. 6 ไม่ได้ทำความรู้จักเพื่อนมหาวิทยาลัยมากเท่าไร เพราะเราทำงานทุกวัน เพื่อนคนอื่นๆ ก็จะผูกพันกับเพื่อนในมหาวิทยาลัยมากกว่าเรา บางคนจบมาอาจจะมาทำงานที่เดียวกัน แม้แต่เพื่อน ม. ปลายเราก็ห่างกัน ถ้าเราเป็นเด็กธรรมดา เรียนเสร็จก็คงกลับบ้านนอน ไม่ต้องตื่นเช้าไปทำงานถึง 4 ทุ่มเที่ยงคืน ตอนนั้นคิดว่าทำอะไรเยอะขนาดนี้ แต่พอเวลาผ่านไป ทั้งหมดคือเกราะป้องกันที่ดี อะไรหนักผ่านมาเราจะรู้สึกสบายมาก ตอนนั้นหนักหนาสาหัสเหนื่อยหามรุ่งหามค่ำได้หมด แต่ตอนนี้อายุ 33 แล้ว ความเพลียความขี้เกียจมันรุมเร้า จะให้นอนตี 4 ตื่น 7 โมงเช้าขึ้นมาเฮฮา มันไม่ได้แล้วครับ มันอ๊อง เดี๋ยวนี้ต้องนอนให้ได้ 6 ชั่วโมง”

 

สิ่งที่ณเดชน์อยากบอกน้องๆ รุ่นใหม่ในวงการ 

“อยากบอกน้องๆ บอยแบนด์ว่า พาผมเข้าไปอยํู่ในวงด้วยครับ (หัวเราะ) เพราะ T-POP ตอนนี้มาแรงเหลือเกิน เด็กสมัยนี้เก่ง มีโอกาสและช่องทางเยอะมาก ทุกคนมีสื่อในมือ ทุกคนเป็นเจ้าของชาแนล เป็นเจ้าของค่ายเอง มันดีมาก ผมไม่มีอะไรแนะนำ แค่ทุกคนมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำมีความสุข ไม่ว่าความสุขจากชื่อเสียง ความสุขจากงานที่เรารัก จากเงินที่ได้ เหงื่อที่เราเสียไป ได้ทำงานกับเพื่อน

บางคนมีความสุขที่ได้ทำงานกับเพื่อน ตื่นมาไปทำกับเพื่อน เย็นกินชาบูด้วยกัน คือคนเราถ้ามีความสุขทุกอย่างคือจบ เมื่อไรความสุขแปรเปลี่ยนไปเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบค่อยว่ากันอีกที มายเซ็ตก็จะเปลี่ยนไป ตอนนี้คนรุ่นใหม่ไฟแรง ตื่นเต้น อยากที่จะทำ เหนื่อยแค่ไหนก็สู้ ไปให้สุดครับ ผมก็เป็นเหมือนกันในช่วงวัยรุ่น

ผมว่าสิ่งที่เราต้องเคารพเด็กสมัยนี้คือ มุมมองความคิด ความตั้งใจของพวกเขาชัดเจน เขามองเห็นตัวเอง รู้ว่าอยากทำอะไร แล้วผู้ปกครองซัพพอร์ต นี่คือเสน่ห์ เป็นสิ่งที่ดีมาก อย่างนักแสดงรุ่นใหม่ๆ ผมต่างหากต้องไปเรียนรู้จากเขาเพิ่มเติมถึงมุมมองการแสดง เทสต์ วิธีการ วิชั่นของเขา ล้วนเป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้ไปด้วยกัน

เราจะมาบอกว่าประสบการณ์เยอะว่า แสดงดีกว่า เก่งกว่า เอาอะไรมาวัด ไม่มีอะไรมาวัดได้ งานเยอะกว่าไม่ใช่ว่าจะแสดงดีกว่า เก่งกว่า บางคนอาจจะแสดงดีมาก เก่งมาก แต่ไม่มีโอกาสหยิบยื่นมาให้

ผมเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่เคารพนักแสดงด้วยกัน เมื่อไรที่รู้ว่าคนไหนเก่งกว่า เราชื่นชม อยากจะเรียนรู้จากเขา อยากจะดูดวิชาเขามา เพื่อเราจะได้พัฒนาตัวเองด้วยเหมือนกัน เหมือนกับการมาเล่นละครเวที ผมตั้งเป้าว่า ผมคือเด็กหน้าใหม่ สิ่งที่ผมต้องทำให้มากที่สุด เปิดช่องให้ตัวเอง เปิดโลกให้ตัวเอง ตัดข้อจำกัดตัวเอง และเรียนรู้ เพราะทุกอย่างจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เราเคยเจอในกองละคร”

ลูกชายที่มีเวลาให้ครอบครัวเสมอ 

“อาจจะเป็นเพราะคุณแม่ชอบถ่ายรูป เลยเห็นภาพเราอยู่กับครอบครัวตอลด คือเมื่อไรที่ว่างก็จะกลับบ้าน มาหาแม่กับป๊า นั่งคุยกับแม่ ให้แม่นวดหน้าให้ บางทีป้อนข้าวป๊า บางทีอยากกลับไปหมา ไม่ใช่อะไรคิดถึงหมาครับ เพราะปกติผมกลับบ้านก็จะพาเขาขึ้นมานอนด้วยบนห้อง เราพยายามบาลานซ์ให้ได้ มีเวลา ทำอะไรให้ได้ก็อยากให้ตอนนี้ การที่พาเขาไปเที่ยว ไปเปิดโลก เปิดหูเปิดตา เราก็มีความสุขไปด้วย”

 

ฟ้าจรดทราย กับฟีดแบ็กที่ดีแบบถล่มทลาย

“ทุกอย่างคือกำลังใจตั้งแต่แรกเริ่มเลย รู้สึกดีที่มีกระแส ต้องยอมรับว่าเวลาทำอะไรสมัยนี้ ไม่มีคนเฝ้ารอดู ไม่มีกระแส คนดูไม่ตื่นเต้น ก็เท่ากับว่าหน้าหนังขายไม่ได้แล้ว แต่เมื่อไรที่คนดู อยากจะดู อยากจะเห็น อยากจะวัด !! มันเป็นไปได้หมดเลย จะมาดูหน่อยสิ ณเดชน์จะเป็นอย่างไร ทำได้หรือเปล่า ก็มีหลายแบบ สุดท้ายมาดูเถอะครับ จะมาวัดผม จะมาดูถูก หรือชื่นชม ผมยินดีมาก ยิ่งผลงานออกมาแล้วคนชื่นชอบ สนุก แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว

ผมรู้สึกว่าการที่ผมเข้ามาอยู่ในพาร์ทของละครเวที ผมจะไม่กดดันตัวเอง แต่ผมจะทำทุกอย่างด้วยความสุขและความตื่นเต้น เปลี่ยนมาเป็นพลังที่ผมจะได้รู้สึกว่า วันนี้เราจะออกไปด้วย ความพร้อมและความสุขในฐานะของชารีฟ ออกไปสนุกกับตัวละครนั้นบนเวที

โดยที่คนดูคือ audience ก็คือบรรยากาศของสถานที่นั้นๆ ไม่คิดว่าเล่นแบบนี้แล้วคนดูจะมองว่าเราหล่อมั้ย จะชอบมั้ย เราจะร้องเพลงเพราะมั้ย เขาจะตลกมุกนี้ม้้ย ผมจะตัดเรื่องพวกนี้ออกไป

ผมรู้สึกว่าถ้าด่านแรกคือการซ้อมกับพี่บอย-ถกลเกียรติ ไม่ผ่าน ผมว่าผมก็ไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปบนเวที นี่คือคุณผู้ชมอันดับหนึ่ง (ยิ้ม) ต่อให้อะไรจะเกิดขึ้นบนเวที ค่อยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า”

สุดสัปดาห์ : ปล่อยจอย

“ใช่ครับ นี่คือวลีเด็ดเลยใช่มั้ยที่ทุกคนพูด

ผมดูละครเวทีอาจจะไม่ได้ครบทุกเรื่องกับที่รัชดาลัย เรารู้สึกว่าเราอยากเห็นตัวเองบนเวทีสักวัน แต่เราไม่ใช่คนตะเกียกตะกายเข้าไปเรียกร้อง เพราะรู้สึกว่าถ้ายังไม่เห็นว่าเราเหมาะ เราก็คงยังไม่พร้อม แต่เมื่อโอกาสมา และทุกอย่างเป็นใจหมด ผมรู้สึกว่า … อืม ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้มาเล่นฟ้าจรดทราย เพราะตอนแรกคิดว่าจะเริ่มแบบเบาๆ สบายๆ อย่างเช่น วันสละโสดกับโจทก์เก่าๆ, แฟนฉัน  เราอยากมาสายคอมเมดี้มาก… ตอนดูพิษสวาท ทุกคนเล่นดีมากจนเราจะร้องไห้ สงสารนางเอก ดูแล้วตัวหด โอ๊ยยย ทำไมต้องเจอแบบนี้ด้วย เราได้ดูนักแสดงละครเวทีแต่ละท่านมาเยอะมากๆ แล้วการที่เราได้มาอยู่ตรงนี้ มันเป็นโอกาสที่ดี จะทำให้ดีที่สุดครับ”

พาร์ทที่ชอบในฟ้าจรดทราย

“ผมชอบพาร์ทในทะเลทราย มีทุกอย่างเกิดขึ้นที่นี่ ทั้งเส้นรัก คอมเมดี้ เส้นหัวใจจะวาย เส้นผ่อนคลายกระจ่างแจ้งที่สุด ผมชอบเพลง ปณฺิธาน ที่บ่งบอกความเป็นชารีพ ส่วนตัวเป็นเพลงที่ร้องยากที่สุด เป็นเพลงพูดถึงบ้านเกิดเมืองนอน จงรักภักดีต่อบ้านเมือง เพลงปณิธาน บ่งบอกตัวตนชารีฟที่สุด อีกอย่างเรื่องกายภาพก็ต้องเตรียมให้พร้อม เมื่อไรที่เชื่อว่าเป็นองครักษ์ ผมว่ามันจะมาเอง อกผาย ไหล่ผึ่ง ความทะนงตน เมื่อไรที่เชื่อทุกอย่างจะมาเองแบบสบายๆ”

 

ญาญ่าคนสำคัญในชีวิต 

“ผมว่านอกจากเป็นแฟนกัน คือการเป็นเพื่อนที่รับฟังปัญหาตั้งแต่ยังไม่ตัดสินกันตั้งแต่ทีแรก นั่นคือสิ่งที่เรามองหา บางทีเราเหนื่อยมาก เราเจออะไรมา มู้ดดี้จัง แย่จัง การที่เขารับฟัง เปิดใจรับ เขาทำให้เราผ่อน พอเราผ่อน เขาเสนอมุมความคิดอีกแบบ ไม่ได้มองโลกด้านเดียวเสมอไป ผมว่าสิ่งนี้คนเป็นคู่กันต้องการครับ การที่เราเหนื่อย เขาถามว่าอยากกินอะไรมั้ย ทานผลไม้มั้ยแค่นี้ก็ดีมากแล้ว ทุกวันนี้เจอกันหลังเสร็จงาน ต่างคนก็ต่างง่วงนอน ต้องตื่นเช้า ไม่มีโอกาสว่างได้ไปเที่ยว ทำอะไรด้วยกันเหมือนตอนว่างๆ แต่ถ้าว่างเมื่อไร จะพยายามใช้เวลาอยู่ด้วยกันเยอะๆ”

 

ประโยคที่ญาญ่าพูดแล้วทำให้ทุกอย่างเบาลง

“เออ… เขาแค่บอกว่า เขาจะคอยซัพพอร์ตเสมอ ต่อให้เขาจะมีโอกาสได้ดูหรือไม่ได้ดูก็ช่างเขาจะซัพพอร์ตเสมอ อย่าง “ธี่หยด” ตั้งแต่ภาคแรก เขาไม่กล้าดูเพราะมันคือหนังผี เขากลัวผี ดูแล้วนอนไม่หลับ ซัพพอร์ตตลอดนะ แต่ไม่ดูเลย ผมดูหนังผีกับแฟนผมไม่ได้ ผมดูได้คนเดียว (หัวเราะ) เวลาดูเขาจะไปทำอย่างอื่น แต่ถ้าเธอนั่งกับฉัน ฉันอาจจะดูด้วยก็ได้ ฉันขอคิดก่อนนะ จะประมาณนี้ (หัวเราะ)

ความสุขเมื่อได้เล่นละครเวที

“ผมรู้สึกว่ามิวสคัลหรือดนตรีเป็นอะไรที่พิเศษมาก มันเข้าไปอยู่ในโสตประสาทมากกว่าแค่พูดในไดอะล็อก ไม่งั้นภาพยนตร์จะไม่มีสกอร์เลย เพลงเลย เพราะเมื่อมีแล้ว จะสร้างอรรถรสในการรับรู้ถึงความรู้สึกมากขึ้น ผมรู้สึกว่าการได้เล่นละครเวทีในแบบมิวสิคัล เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก และผมรู้สึกว่า การที่ผมได้ร้องเพลงไปพร้อมกับเล่นตามบทบาทในละครเวทีเรื่องนี้ ทำให้เปิดประสบการณ์ความรู้สึกของนักแสดงอีกแบบหนึ่งไปเลย มิวสิคคัลเรื่องนี้ทำให้ผมเข้าไปในโลกของการแสดงมากขึ้นไปอีก จากที่ผมเข้าใจว่าผมทำได้เท่านี้ พาผมเข้าไปสู่โลกใหม่ที่ผมไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสมาก่อน ขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสผมได้มาเล่นละครเวทีฟ้าจรดทรายครับ อยากให้มาชมกันครับ รองรับว่าคุณจะสนุก รับอรรถรสทุกอย่าง หูตากายใจ รับได้หมดเลยครับ”

 

“ฟ้าจรดทราย เดอะมิวสิคัล”เปิดรอบการแสดงใหม่  26 ตุลาคม – 15 ธันวาคม นี้เท่านั้น (ซื้อบัตรคลิก https://bit.ly/fahjarodsai_fbp)

 

Text: AuAi

hoto: เนาวพจน์