จี๋ สุทธิรักษ์ จากเด็กเกเรที่ชอบใช้ชีวิต สู่พระเอก 100 ล้านสุดฮอต

account_circle
event

“ชีวิตต้องไปต่อ Enjoy Life ครับ” เป็นประโยคเรียบง่าย แต่ทำให้ฉุกคิดทันทีของ จี๋ สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร พระะเอกสุดฮอตขวัญใจสาวๆ ในเวลานี้ จะบอกว่าสุดสัปดาห์เคยสัมภาษณ์จี๋มาแล้ว 2 ครั้ง ตั้งแต่ช่วงเข้าวงการแรกๆ ในฐานะนักแสดงดาวรุ่งที่น่าจับตามอง

วันนี้เราได้กลับมานั่งคุยกับจี๋อีกครั้ง ในฐานะพระเอก 100 ล้าน จากภาพยนตร์ฟีลกู้ด ‘อนงค์’ ที่กระแสตอบรับดีแบบถล่มทลาย บทสัมภาษณ์นี้เราคงไม่ได้จะมาคุยแค่ความสำเร็จของหนังเท่านั้น แต่เรายังชวนจี๋ย้อนวัยเด็กถึงความเฟี้ยวที่ชอบค้นหาต้วเอง จากเด็กเกเรที่ชอบใช้ชีวิต ชอบดูละครหลังข่าว สู่เส้นทางนักแสดง ที่เจ้าตัวบอกว่าหลงรักอาชีพนี้มากขึ้นทุกวัน

จี๋ สุทธิรักษ์ จากเด็กเกเรที่ชอบใช้ชีวิต สู่พระเอก 100 ล้านสุดฮอต

อนงค์ฟีดแบ็กดีมาก ตอนนี้ขึ้นแท่นพระเอก 100 ล้านแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างคะ

ดีใจมากครับ ดีใจที่คนดูมีความสุข เพราะนี่คือความตั้งใจของทีมงานทุกคน รวมถึงพี่เอสผู้กำกับด้วย คือพี่เอสพูดบ่อยมากว่าความสุขของคนดูคือที่สุด พวกเราทุกคนดีใจมากที่เห็นปฏิกิริยาทุกคนที่เดินออกมาจากโรงหนังมีรอยยิ้มบ้าง มีคราบน้ำตาบ้าง ซึ่งมันมีความหมายกับพวกเรา

กลายเป็นจี๋ห้างแตกไปแล้วนะคะ

ตอนนั้นแฟนหนังมารอเจอ น่าจะที่เซ็นทรัลนครปฐม เป็นช่วงเดินสายทัวร์โปรโมทหนัง เห็นแล้วตื้นตันมาก ผมเองก็เหมือนเป็นตัวแทนของทีมงานด้วย พี่เอสจะบอกว่า วันหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ได้ไปสู่สายตาของทุกคน ขอให้รู้ว่ามีชื่อและมีใบหน้าของทุกคนอยู่ในรอยยิ้มนี้เสมอนะ ดีใจที่ทุกคนมีความสุขที่ได้มาบ้านอนงค์ครับ

 

มีฟีดแบ็กอะไรที่ได้รับแล้วชื่นใจมากๆ บ้างไหมคะ

คนดูจะบอกว่า “ขอบคุณมาก มีความสุขมาก” “รู้สึกว่ายังอินอยู่เลย” สิ่งหนึ่งที่ผมดีใจมากคือ อนงค์ได้เป็นหนึ่งในกิจกรรมครอบครัวที่ทุกคนในบ้านสามารถดูร่วมกันได้ อนงค์ไม่ใช่หนังผีน่ากลัว คือมีผีนะ แต่ไม่น่ากลัวแน่นอน มาดูแล้วอาจจะเลิกกลัวผีไปเลยก็ได้ ที่สำคัญเป็นหนังที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หลานๆ มาดูด้วยกัน มาใช้เวลาด้วยกัน ผมดีใจที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้หลายคนได้ลืมเรื่องเครียดๆ ในโลกของความเป็นจริง แล้วมาพักมาเที่ยวอยู่ในโลกของบ้านอนงค์ ภายในเวลา 2 ชั่วโมงให้เขาได้เอ็นจอยครับ

 

เหตุผลที่รับเล่นเรื่อง ‘อนงค์’

เหตุผลแรก ผมคิดว่างานเลือกเรา คือจริงๆ แล้วผมไม่ค่อยคอมฟอร์ทกับความเป็นคอมมาดี้เท่าไรเลยครับ เพราะมันเป็นเรื่องของปัจเจก ซึ่งไม่ง่ายเลยครัย ถามว่าอะไรที่ทำให้ผมไปต่อได้คือ พี่เอสครับ อยากลองไปทำด้วยกัน และพี่เขาทำให้ผมกล้ากระโดดไปทั้งตัวได้ขนาดนี้ครับ

 

ทำการบ้านกับบทโจอย่างไรบ้างคะ

สำหรับ ‘โจ’ ใน อนงค์ บทมีความอิสระสูงมากครับ เลยไม่ง่ายที่จะหาคาแร็คเตอร์ที่ตรงจุด ผมตามไปดูงานเก่าๆ ของพี่เอส ทั้ง เพื่อนสนิท สายลับจับบ้านเล็ก และคุยกับพี่เอสเยอะมาก หาคาแร็คเตอร์กันตั้งแต่เปิดกล้อง พอเปิดกล้องก็ยังหากันอยู่เรื่อยๆ ตบซ้ายตบขวา โจเลยมีความครึ่งหนึ่งเป็นผมและพี่เอสผสมกันอยู่ในตัวโจ

 

โจมีอะไรที่เหมือนจี๋บ้าง

มันคือผมเลยครับ (หัวเราะ)

 

หลายคนมองว่าจี๋นิ่งๆ คูลๆ แต่จริงๆ จี๋เหมือนโจใช่ไหมคะ

(หัวเราะ) ก็คือติ๊งต๊องใช่มั้ยครับเนี่ย ผมไม่แน่ใจว่าผมติ๊งต๊องไหม อาจจะใช่ก็ได้นะครับ คือทุกงานครับจะมีความจริงบางส่วน มีความเป็นตัวของเราเองอยู่ในนั้นเสมอ บทโจก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นผมอยู่

 

ความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับพี่เอส-คมกฤษ 

ผมรักพี่เอสมากครับ และดีใจที่ทุกคนให้การตอบรับกับหนังเรื่องอนงค์เป็นอย่างดี พี่เอสและทีมงานรักเรื่องอนงค์มากๆ ผมอยากให้ทุกคนเห็นภาพเบื้องหลังในกองมากเลย คือมันมีหลายซีนที่เป็นซีนอารมณ์ ขณะที่พี่เอสกำกับเขาก็ร้องไห้ด้วย ในฐานะคนเล่าเรื่องราวยิ่งลงลึกไปกับมันมากขึ้น ยิ่งเอ็นจอยมาก ทุกคนผูกพันกับอนงค์มาก

 

ร่วมงานกับโบว์-เมลดาเป็นอย่างไรบ้าง

ก่อนหน้านี้เราไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน อาจจะเคยเจอแบบแว่บๆ อนงค์เป็นบทที่มีความเป็นธรรมชาติสูง โชคดีมากที่เป็นโบว์ พอเราสองคนจับมือกันทำงาน มันทำให้ลื่นไหล ซึ่งผมคิดว่าไม่มีอนงค์ที่ดีกว่านี้แล้ว ถือโอกาสนี้ขอบคุณโบว์สำหรับการเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีมากๆ

 

ซีนที่ชอบในอนงค์

ซีน make love ที่รักกันแล้ว แต่โดนตัวกันไม่ได้ ก่อนหน้านี้จะชอบซีนท้ายๆ ซึ่งเป็นไคลแมกซ์ เล่ามากไม่ได้ต้องดูเอง คือมันเป็นจุดสรุปของทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมด รู้สึกแตกสลาย เป็นวันที่ผมร้องไห้หนักที่สุดในชีวิตแล้วทั้งในมุมชีวิตจริงและการแสดงด้วย เล่าไม่ได้แล้วครับ เล่าได้แค่นี้

 

ถ้าจะให้สรุปบทเรียนในวงการบันเทิงเกือบ 10 ปี ได้เรียนรู้อะไรบ้างคะ

เยอะแยะมากมายครับ มีทั้งความทรงจำที่ดี มีเสียงหัวเราะ มีน้ำตา มีเรื่องเล่ามากมายระหว่างทาง ถ้าจะให้ สรุปบทเรียนจากเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา อืมมม ชีวิตมันก็คงต้องไปต่อครับ ท่ามกลางการต่อสู้ การมีความสุข ท่ามกลาง … ทุกอย่าง มันสโคปออกมาเป็น 3 คำที่นิยามทุกอย่าง คือคำว่า Life goes on ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องยากลำบากแค่ไหน Life goes on กับทุกๆ วันเสมอ ชีวิตมันไม่หยุดรอครับ

 

แรกเริ่มจี๋อยากเข้ามาทำงานในวงการเลยหรือเปล่าคะ เพราะคุณพ่อ (เจี๊ยบ-พิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตร) ก็เป็นศิลปินด้วย

จริงๆ ในชุดความคิดแรกที่อยากเข้ามาเป็นนักแสดง ไม่ได้เริ่มจากการชอบหรือความรัก คือผมโตมากับคุณปู่คุณย่าที่ชอบดูละครหลังข่าว ผมแค่คิดว่า มันน่าสนุกดีนะ ถ้าเราได้เล่นละครและได้นั่งดูละคร ที่เราเล่นกับคุณปู่คุณย่า คงเป็นกิจกรรมครอบครัวที่สนุกดี พอได้มีโอกาสมาทำจริงๆ คิดว่าแค่อยากจะทำให้ดี พอทำได้ดี ก็กลายเป็นเราชอบ รู้ตัวอีกทีก็รักในสิ่งนี้ไปแล้ว

 

มีบทอะไรที่อยากเล่นอีกไหมคะ

เยอะมากจนไม่สามารถพูดออกมาเป็น 1 2 3 4 5 ได้เลยครับ จริงๆ ผม enjoy ในโลกของตัวละครที่ผมได้เข้าไปค้นหานะครับ ถ้าจะมีบทให้เล่น ผมอยากเล่นบทที่มันไกลตัว ผมรู้สึกว่าการที่ได้เข้าไปในโลกต่างๆ ของตัวละคร คือการได้เข้าไปเรียนรู้ชีวิตของคนใหม่อยู่เสมอครับ รสนิยมของเขา วิธีการเดินของเขา เพลงที่เขาฟัง คนที่เขารู้จัก รายทางที่เขาเติบโตมา

 

และรายทางการเติบโตในวัยเด็กของจี๋ล่ะคะ 

ผมเป็นเด็กทั่วไปเลย ก็เกเรแหละ (ยิ้มอ่อน) ก็ไม่กลับบ้าน ไปใช้ชีวิตข้างนอก อยากสัมผัสรสขาติของความเป็นผู้ใหญ่ เราก็เลยออกมาลองใช้ชีวิตดู ไปค้างบ้านรุ่นพี่ ออกไปค้างบ้านเพื่อน ที่บ้านเพื่อนมีธุรกิจเป็นเจ้าเรือประมง หาของสดมาขาย เราก็ไปช่วยจัดแผงปลา เป็นพ่อค้าคนหนึ่ง ไปเป็นเด็กเสิร์ฟบ้าง ผมแค่อยากไปลองใช้ชีวิตดู

ถึงจุดไหนที่รู้สึกว่าตัวเองเรียนรู้ชีวิตพอแล้ว

อยู่ๆ ก็มันเกิดขึ้นเองครับ โอเครู้เรื่องล่ะ คือวันนั้นผมอยู่บนดาดฟ้าคอนโดของรุ่นพี่ ผมนอนอยู่บนโซฟา ตอนนั้นประมาณ เกือบๆ 6 โมง เป็นช่วงฟ้าเปลี่ยนสี  โมเมนต์นั้นมันทำให้ผมคิดอะไรได้บางอย่าง รู้สึกว่าเอ๊ะ! ถึงเวลาพอได้แล้ว และผมก็กลับบ้าน จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งตอนที่ไปอายุประมาณ 16 ปี

 

ไปเรียนต่อต่างประเทศในช่วงวัยทีน ทำให้โตขึ้นขนาดไหนคะ                           

ผมได้อยู่กับตัวเองเยอะครับ มันทำให้เราได้มีเวลาตกผลึกกับตัวเองว่า ที่ผ่านมาเราทำอะไร แล้วปัจจุบันเราทำอะไร เรามีเป้าหมายแบบไหนที่เราอยากหา แล้วพาเราไปสู่สิ่งนั้น ทำให้เราโตกว่าเด็กวัยเดียวกันไหม พูดแบบนั้นได้ครับ  ผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างรีบร้อนในการใช้ชีวิตนิดนึง ไม่ได้รีบโตหรอกครับ แค่อยากรู้ว่าชีวิตในแบบที่โตแล้ว เขาใช้กันยังไง เราอาจจะใจร้อนแบบรอไม่ได้ เลยออกไปใช้มันเลย

 

ในวัย 31 ปี ได้ผ่านการลองใช้ชีวิต การทำงาน จี๋เข้าใจชีวิตและตกผลึกมันแล้วอย่างไร

สำหรับผม เมื่อผมเจอคำตอบ คำถามผมจะเปลี่ยนไปอยู่เสมอ คือช่วงชีวิตเรามันจะเคลื่อนไปตาม chapter แต่ละคนจะมี chapter ของชีวิต สังเกตว่าทุกวันเราจะใช้ชีวิตเหมือนเดิมเหมือนทุกวัน มันไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่พอลองมองย้อนกลับไปดีๆ เราในวันนี้ แม้แต่ปีที่แล้วกับปัจจุบัน มันต่างกันมากๆ ครับ วิธีคิดก็เปลี่ยน วิธีการทำตัวเราก็เปลี่ยน

คำถามที่มันเคยสำคัญมากๆ กับชีวิต เมื่อเราพบคำตอบ แต่มาวันนี้คำถามมันได้เปลี่ยนไปแล้ว ผมค้นพบว่าเมื่อไรที่เคยคิดว่าเข้าใจชีวิต แต่แท้จริงแล้วผมยังไม่เข้าใจอะไรเลย ผมคิดว่าชีวิตมันเพิ่งเริ่มต้นเสมอ แล้วเราก็ยังต้องค้นหาต่อไป ถ้าจะให้นิยามง่ายๆ ผมว่ามันคือการรักษาสมดุลให้เราบาลานซ์มากที่สุดเพื่อจะไปต่อได้

 

ตั้งเป้าหมายในวงการบันเทิงไว้อย่างไร 

ผมอยากสนุกทุกวันแค่นี้ครับ ผมเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตให้มีความสุข แน่นอนว่าความทุกข์ ความเศร้าต่างๆ มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ทำไมเราต้องไปให้น้ำหนักกับสิ่งนั้น ทำไมเราถึงไม่ไปให้น้ำหนักกับสิ่งที่ทำให้เรา enjoy ถ้าเราหลีกเลี่ยงความทุกข์ไม่ได้ ทำไมเราไม่สร้างโอกาส ให้เราได้สนุกไปกับชีวิต พร้อมๆ กับความทุกข์ที่มันเข้ามา

ไม่ต้องเป็นสุขนิยม หรือต้องสุขอยู่ตลอดเวลา แค่เข้าใจว่าบางช่วงก็ต้องทุกข์เป็นธรรมดา บางช่วงมีสุขก็ต้องเข้าใจ และรับมือมันอย่างมีสติ ต่อให้ผมมานั่งคุยอย่างนี้ ผมเองก็ไม่ได้ทำได้ 100% การที่ผมได้มาคุยกับสุดสัปดาห์ ก็เป็นการได้ทบทวนตัวเองเหมือนกัน

ชีวิตเราแค่ Enjoy life ครับ …

 

Interview: AuAi

Text: Ohhioh

Photo: เนาวพจน์

 

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

เมาท์มอยจัดเต็มกับ AR3NA ให้สมกับความคิดถึง กับเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังที่จะทำให้รู้จักพวกเธอมากขึ้น

เก๋ไก๋ สไลเดอร์ จากยูทูบเบอร์ขวัญใจชาวโซเชียล ขึ้นแท่นนางเอกน้องใหม่ช่อง 3