กอล์ฟ-ไมค์ รียูเนียนคอนเสิร์ตใหญ่ในรอบ 14 ปี BOUNCE TO THE FUTURE
ไหนๆ ก็เป็นวาะพิเศษที่ กอล์ฟ-ไมค์ รียูเนียนคอนเสิร์ตใหญ่ในรอบ 14 ปี สุดสัปดาห์เลยชวนทั้งคู่ใส่องค์โมเดลมาเป็นนายแบบขึ้นปก Digital Cover ความเป๊ะความปังมาลุคนายแบบมาแบบจัดเต็ม แถมด้วยบทสัมภาษณ์ที่เต็มไปด้วยความทรงจำดีๆ ในเส้นทางของการเป็นศิลปินดูโอ้
ทักทายแฟนๆ สุดสัปดาห์กันสักนิดค่ะ
ไมค์: สวัสดีครับชาวสุดสัปดาห์ พวกเรากอล์ฟ-ไมค์ครับช่วงนี้จะเห็นพวกเราค่อนข้างบ่อย เพราะว่าพวกเรากำลังจะจัดคอนเสิร์ต กอล์ฟ-ไมค์ รียูเนียนครั้งแรกนะครับ BOUNCE TO THE FUTURE วันที่ 2 ธันวาคมนี้ ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี
ความรู้สึกที่พี่น้องได้กลับมาทำงานด้วยกันอีกครั้ง
ไมค์: ก็ตื่นเต้นนะ เราเจอกันบ่อยอยู่แล้ว เราเจอกันแทบทุกวัน
กอล์ฟ: เจอทุกวันอะไรล่ะ อยู่คนละบ้าน
ไมค์: คือพอเข้าเป็นลูปงาน มันก็เป็นความรู้สึกที่แตกต่าง เป็นความรู้สึกที่เราห่างหายจากตรงนี้ไปนานเนอะ
โห…เป็น 14 ปีได้ นี่ก็เป็นรอบแรกที่กลับ แล้วมาร่วมงานกัน แล้วก็ทำงานกันอย่างจริงจังครับ
กอล์ฟ: สำหรับกอล์ฟก็…ทำงาน ไมค์ก็…
มันเหมือนแบบ…ความทรงจำในวัยเด็กมันกลับมา แต่มันมาในอีกความรู้สึกหนึ่ง เหมือนกับว่า ด้วยความที่เราสองคนโตขึ้นแล้วครับ
มันมีความ…มันรีแล็กซ์ มันมีความชิล มีความคุยกันแบบสนุก มากกว่าตอนเด็กๆ ที่เหมือนอะไรนิดหน่อย ก็เถียงกัน ตีกัน เด็กๆ อะไรแบบเนี่ย พอโตขึ้นมาเราก็มีความสนุกเฮฮา เหมือนได้เห็นไมค์สนุก เป็นไมค์อีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่พูดเยอะกว่าแต่ก่อนเยอะมาก
ไมค์: เป็นเวอร์ชั่นที่พูดได้แล้ว
กอล์ฟ: แต่ก่อนมีคนเย็บปากติดไว้ ไม่พูดอะไรเลย
ไมค์: แต่ก่อนคิดเยอะไปนิดหนึ่ง พอคิดเยอะกำลังจะพูด กอล์ฟก็แย่งพูดหมดแล้ว จริงๆ แต่ก่อนประมวลผลอยู่ ไม่ได้เงียบครับ กำลังคิดได้แล้ว กอล์ฟแย่งพูดหมด ทุกวันนี้เป็นการแก้แค้นเฉยๆ
กอล์ฟ: แรมต่ำ ช่วงนั้นแรมต่ำ
ไมค์: ช่วงนี้แก้แค้นด้วยการ พูดแทรกๆๆ
กอล์ฟ: ก็สนุกนะครับ แล้วก็…รู้สึกตื่นเต้นกับการที่เหมือน… ถ้าเป็นคนอื่นๆ เวลาได้ทำอะไรสักอย่างในชีวิต มันจดจำมาในครั้งหนึ่งแล้ว มันห่างหายไปนาน แล้วได้กลับมาทำอีกใน 10 ปีผ่านมา เชื่อว่าทุกคนน่าจะมีความรู้สึกนี้ที่…
ไมค์: คิดถึง
กอล์ฟ: เอ่อ! ความคิดถึง แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันมีแค่คำว่าคิดถึงที่สามารถอธิบายได้จริงๆ มันคือความรู้สึกที่มากกว่านั้นครับ
เป็นโปรเจ็กต์ที่ใช้เวลา 4 ปี กว่าจะเกิดขึ้นได้
กอล์ฟ: 4 ปี คือหมายถึงกอล์ฟได้มีโอกาสแย็บไมค์ อยากทำอันนี้ สนใจมั้ย ด้วยความที่ไมค์อยู่ประเทศจีน มีงานต้องถ่ายซีรีส์ เขาได้ซีรีส์ 90 วันติดต่อกัน แล้วเขามีโปรเจ็กต์มาเรื่อยๆ มันก็ไม่สามารถบินกลับมา มาทุ่มกับคอนเสิร์ตที่ใช้เวลา 2-3 เดือน อย่างที่เราทำกันอยู่ คอนเสิร์ตเรารวมโพรเซสเข้าประชุมนั่นโน่นนี่ ตั้งต้น 5 เดือนแล้ว เพราะฉะนั้นมันใช้เวลา เหมือนต้องลงทุนในเวลามากๆ พอสมควร กว่าจะมีโอกาส เวลาลงล็อกพอดีมาลงได้ ปีหนึ่งเอาจริงๆ ปีหนึ่งคุยกัน จะเริ่มเซตกัน
วันแถลงข่าวแฟนคลับมากันเยอะมาก รู้สึกอย่างไรบ้าง
ไมค์: ตอนแรกก็ตกใจ เพราะเราไม่คิดว่าคนจะมาเยอะขนาดนี้ วันนั้นคนมาเยอะ เราก็ดีใจ เรารู้สึกว่าแฟนๆ เขายังไม่ลืมเราเนอะเขายังอยู่ตรงนี้ เขายังมาซัพพอร์ต น่ารักเหมือนเดิมคือวันนั้น
กอล์ฟ: ฝนตก รถติดด้วย
ไมค์: ใช่ ด้วยๆ เออ…ตอนที่เดินลงไป ไปด้วยความรู้สึกที่นิ่งมาก โอเค เดี๋ยวเราจะลง นั่งคิด เดี๋ยวเราต้องร้องอะไร โชว์อะไร สัมภาษณ์อะไร นู่นนั่นนี่ แต่พอลงไป เห็นแฟนๆ มาคือ… ที่เราคิดนู่นนั่นนี่ในหัวเรา หายไปหมดเลย เราแค่รู้สึกว่า ขึ้นเวทีไปด้วยความสุข เรามีความสุข เราขึ้นเวทีไป ไม่รู้ว่าจะทำอะไร จะพูดอะไร แต่ว่าตอนนี้เรามีความสุขแล้ว
ย้อนความทรงจำกลับไปวันที่เดบิวต์เป็นศิลปิน กอล์ฟ–ไมค์
ไมค์: เขาร้องไห้ครับ
กอล์ฟ: วันแถลงข่าวร้องไห้ ใช่ๆๆ
ไมค์: จำได้ครับ เพราะผมมองอยู่ แบบ…ร้องไรวะ?! ร้องทำไม
ผมไม่ได้ร้อง เพราะตอนนั้นผมเด็กมากจริงๆ
ผมเด็กแบบว่า 15-16 แถวๆ นั้น
กอล์ฟ: กอล์ฟ 18 ครับ
ไมค์: ตอนนั้นเด็กมาก พอเห็นเขาร้อง เราก็ไม่เข้าใจ แต่มาทุกวันนี้ เราก็ อ๋อ…โอเคเข้าใจแล้ว อ๋อ…มันเป็นฟีลลิ่งแบบนี้เหรอ
กอล์ฟ: ด้วยความที่เราอาจจะโตกว่าเขาเนอะ แล้วเราอาจจะมีความอิน ด้วยความที่โตกว่า เราเริ่มมีความรู้แล้วว่า เราชอบอะไร แพสชั่นเราคืออะไร ถึงแม้เราอาจจะยังไม่ได้เจอว่า แนวทางของเพลงจริงๆที่เราชอบมันคือแบบไหน แบบนั้นแบบนี้นะ แต่มันคือความที่กอล์ฟ เห็นพี่แซนด์ พี่แบงค์ ที่เป็นนักร้องมาก่อนหน้าเรา พี่ชายเราครับ แล้วเราเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราเอาเสื้อผ้าเขาไปใส่แล้วถ่ายรูปกับไมค์ ก็ชวนไมค์มาเล่น แล้วก็เอาเสื้อผ้ามาใส่ถ่ายรูป เรามีความรู้สึกอยากเป็นเขา
แล้วพอวันที่เรามาทำสิ่งที่เราอยากจะเป็น เราก็เลยรู้สึกว่า กว่ามันจะมาวันนี้ได้ มันผ่านอะไรมาเยอะนะเข้าแกรมมี่มาตั้งแต่อายุ 14 ปี เป็นเด็กฝึกก่อน เทรน อัดเสียงแล้ว อัดเสียงอีก แล้วตอนนั้นเราเพิ่งหัดร้องเพลง การอัดเสียง… คือเดี๋ยวนี้แค่ 2 ชั่วโมง แต่ก่อน 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน วนลูปอย่างนี้ วนลูปอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งอัดไปแล้วเกือบค่อนอัลบั้มเสร็จแล้วผู้ใหญ่เคาะยกเลิก เปลี่ยนเพลงใหม่หมดเลย เพราะว่า…เหมือนไมค์เขาเสียงเปลี่ยน ตัวยืดขึ้น ทีนี้ลุคทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย จากเสียงเป็ดกลายเป็นเสียงโทนต่ำ มันใช้เพลงเดิมไม่ได้แล้ว เขาก็เลยเปลี่ยน แล้วก็ไล่เปลี่ยนเพลงอื่นๆ ด้วยครับ
พอมันผ่านมาได้ แล้วได้ออกอัลบั้ม แต่ก่อนไม่มีซิงเกิลครับ คุณต้องเสร็จอัลบั้มก่อน ค่อยยิงทีเดียว 10 เพลง มันก็เลยปริ่ม พรั่งพรูว่า ทั้งหมดที่อุตส่าห์ทำมา วันนี้แหละได้เดบิวต์แล้ว ปูพรมข้างล่างให้เราลงมา มีแฟนๆ มาเต็มล็อบบี้ มันก็เป็นภาพที่แบบ… ในวันนั้นเด็กอายุ 18 ได้ขนาดนี้ มันเต็มอิ่มในความรู้สึกมากๆ
แล้วไมค์ล่ะคะรู้สึกอย่างไรบ้างตอนนั้น
ไมค์: ก็ดีใจครับ เพราะว่า คือด้วยความที่เราเด็ก เราทำมาตั้งนาน มันได้เห็นผลลัพธ์ ได้ออกมาโชว์ คือเราตื่นเต้นด้วย เราเป็นคนไม่มีความมั่นใจ แล้วก็ตื่นเต้นบนเวที โน่นนั่นนี่ แต่คือ…ก็อย่างที่บอก ตอนนั้นไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ความรู้สึกของเขาที่เขาร้องไห้ เขาอะไรอย่างนี้ เพราะอะไร แต่วันนี้ ตอนนี้เข้าใจแล้ว
ความคาดหวังตอนนั้น
กอล์ฟ: คือตอนแรกเราไม่รู้ เราไม่คิดขนาดนั้น รู้แต่ว่าผู้ใหญ่เขาพยายาม ปั้นเนอะ การที่เขา โละแล้วทำใหม่ ในตอนเด็กๆ ที่เราคิด และทรุดในวันนั้น เรารู้สึกว่าเหนื่อยกับการที่ทำมาตั้งนาน แต่ลึกๆ เรารู้ว่าผู้ใหญ่เขาคิดมาแล้ว เขาประชุมกันมาแล้วว่าต้อง นั่นนะ นี่นะ แล้วก็พยายามปั่นให้มันดีที่สุดเท่าที่จะได้ มารู้ตอนหลังเหมือนกันว่า…พอเราโตมาพี่ๆ พีอาร์ก็บอกว่า ตอนนั้นรู้มั้ย ผู้ใหญ่เขาบอกเลยนะ กอล์ฟ-ไมค์ ต้องได้ออกทุกคลื่นวิทยุของแกรมมี่ ต้องได้ออกทุกสื่อ เราก็… เขาวางมาแล้ว ณ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะผลักดันแค่ไหนครับ แต่เราก็ทำสุดศักยภาพที่เรามี ณ ตอนนั้น
ณ วันนั้น กอล์ฟ–ไมค์ ตั้งรับกับความสำเร็จอย่างไร
ไมค์: ของผมชินมาตั้งแต่เด็กมั้งครับ เพราะว่าจริงๆ เด็กกว่านั้นอีก ประมาณสัก 7-8 ขวบ ผมก็อยู่ในแวดวงนี้ค่อนข้างบ่อย เพราะว่าด้วยพี่ชาย แซนด์-แบงค์ ไปเล่นเอ็มวีนู่นนั่นนี่ ก็เลยค่อนข้างชินกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นครับผม
กอล์ฟ: แต่ว่ามันจะมีความแบบ…เหมือนพอเราเดบิวต์มา เราประสบความสำเร็จ มันตามมาด้วย ความพุ่งขึ้นเรื่อยๆ จนบางทีเราก็ ตั้งตัวไม่ทัน เหมือนตัวกอล์ฟเอง เป็นคนมีมายดเซตของตัวเอง ความกบฏนิดหนึ่ง อยากใช้ชีวิตแบบปกติ อยากเป็นคนปกติแต่ทำงานด้วย มีชีวิตส่วนตัว ซึ่งตอนนั้นในความเป็นไอดอลมัน…มันไม่มี ไปไหนมาไหน จะเดตกับใคร มันเป็นข่าวไปหมดเลย แค่เดินทางห้างปกติมันก็ไม่ได้ มันมีบางอย่างที่ทำให้เราติดตัวมาถึงทุกวันนี้ ถ้าใครมาขอถ่ายรูป ต่อให้เขายืนอยู่ตรงนั้น หางตาเราจะเห็น จะไวมากเซนส์ตรงนี้
ไมค์: เขาอยู่ข้างหลังผมยังรู้เลย ปาปารัซซี่เยอะเยอะมาก เดี๋ยวนี้ไม่ต้องมี ปาปารัซซีตกงานเพราะดาราถ่ายลงกันเอง
กอล์ฟ: มีปาปารัซซีครั้งหนึ่ง กอล์ฟจำได้เลย กอล์ฟเดินห้าง เหมือนเขาลงบันไดมา แล้วเขายกกล้องขึ้นมา กล้องใหญ่ถ่าย แล้วคือกอล์ฟตอนนั้นเป็นช่วงที่ไม่อยาก… เบื่อแล้วที่ต้องเป็นข่าวแบบนี้ ออกแต่เรื่องแบบนี้ บางทีเราก็อยากรู้เงียบๆ ของเรา ในพาร์ตของเรา เขาถ่ายเอารูปไปขาย เขาลงบันไดเลื่อนมา กอล์ฟชี้เขา กอล์ฟเห็นนะ เขาสแน็ป ตั้งใจปาปารัซซี่ กอล์ฟเลยเดินไปขอเขาให้ลบ เดินไปหาเลย ตอนนั้นก็เด็ดอยู่แหละ พี่ครับลบเลยครับ เหมือนเขาแอบถ่าย สแน็ปๆ เพื่อเอาภาพไปขายเลย
ความสำเร็จที่ได้มา ต้องแลกกับอะไรบ้าง
ไมค์: อิสระ
กอล์ฟ: ความเป็นอิสระในช่วงหนึ่ง เอาจริงๆ มันไม่ได้มีคนบอกว่า ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ แต่เหมือนรู้ไปโดยปริยายด้วยแรงกดดันที่ ถ้าเราทำอะไร แล้วมีออร่าบางอย่างของคนรอบๆ ข้างมา มันจะทำให้เรารู้ว่า อะไรก็ไม่ได้ อย่างนี้ครับ
ไมค์: จริงๆ มันก็ยังมีอยู่นะ แต่เดี๋ยวนี้เริ่มไม่ค่อยแคร์
กอล์ฟ: อาจจะด้วยอายุที่พอเราโตขึ้นแล้ว มุมมองของคนทั่วไปๆ ก็จะมองว่า เขาโตแล้ว ต้องมีชีวิตของเขา ตอนเด็กๆ แฟนคลับอาจจะหวง หรืออะไรอย่างเนี้ย ไม่อยากให้ทำนั่น ไม่อยากให้ทำนี่
ไมค์: ไม่ใช่ไอดอลแล้ว แต่ถ้าเป็นไอดอลแล้ว ก็จะมีอีกแบบหนึ่ง มันจะมีระเบียบอะไรบางอย่างอีกแบบหนึ่ง
ตอนนั้นพี่น้องทำงานด้วยกันเป็นอย่างไรบ้าง
ไมค์: ตอนนั้นตีกันตลอด
กอล์ฟ: ตอนนั้นตีกัน
ไมค์: ตีกันตลอดเลย
กอล์ฟ: ตอนเด็กๆ ด้วยความที่เด็กเนอะ มันก็จะมีแบบว่า ความไม่เข้าใจ เราก็ไม่ค่อยพูด
ไมค์: แข่งขันกันด้วยแหละ
กอล์ฟ: มันถูก competed มี competition เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ไมค์: เป็นดูโอ้ แถมเด็กด้วยตอนนั้น แน่นอนมีการแข่งขันกัน เฮ้ย กอล์ฟทำแบบนี้ เราทำแบบนี้ดีกว่า เราต้อง competed กันตลอดเวลา
กอล์ฟ: แต่จริงๆ กอล์ฟว่ามันเป็นสิ่งที่ดีในมุมหนึ่งนะครับ มันคือ Healthy Competition ในมุมที่แบบว่า ไม่งั้นมันจะไม่มีการผลักดันตัวเองของแต่ละคน หมายถึงการที่คนมาเปรียบเทียบเรา สมมติว่าคนหนึ่งทำเพลงแบบหนึ่ง ได้เอ็มวีแบบหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็อยากทำเอ็มวีอีกแบบหนึ่ง มันคือการที่ push กันไปตลอด โดยที่จริงๆ เราก็อาจไม่รู้ตัว ทุกวันนี้ที่เราทักษะ สกิล เลเวลเพิ่มขึ้น มันเป็นเพราะตรงนี้ด้วย ที่เราต้อง competed กันเอง
ด้วยความที่คนมาเปรียบเทียบเรา อาจจะไม่ได้คุยกัน เพราะว่าอยากให้สิ่งที่เราทำมันใหม่ หรือแบบไม่ซ้ำกัน ความเป็นพี่น้องมันก็จะมีความที่ชอบเหมือนกัน พอโตขึ้นมาเราก็จะรู้ ช่างแม่ง เพราะว่าพี่น้องยังไงเราก็ชอบเหมือนกัน มันก็นั่งดูทีวี ดูการ์ตูน ดูหนัง ดูเรื่องเดียวกันมา สุดท้ายพอเราทำคอนเสิร์ต คิดแนวธีมไซไฟมา นี่ชอบเหมือนกันเลย ง่าย ทำงานง่ายเลย ถ้ากลับมาคิดว่า เป็นคนอื่นที่ไม่ชอบไซไฟ อยากไปพื้นบ้าน อาจจะ BOUNCE TO THE FUTURE ไม่ได้ทำธีมที่เราอยากทำกัน
ณ วัยเด็กตอนนั้นที่ทะเลาะกันบ่อยสุดด้วยเรื่องอะไร
ไมค์: จำเรื่องไม่ได้ โดยรวมก็คือ เขาเรียกว่าอะไร ลิ้นกับฟันเนอะ ก็มีกระทบกระทั่งกันแหละ ถ่ายเอ็มวีอยู่ ก็อาจจะมีเรื่องบางเรื่องที่เราไม่โอเค ไม่พอใจ เอาปิงปองปาใส่แขนเขา คือซีนต้องปาอยู่แล้ว แต่ผมแค่เพิ่มแรงเข้าไปนิดหนึ่ง
กอล์ฟ: ก็ว่าทำไมเจ็บขึ้น ไม่รู้เรื่อง
ไมค์: รู้…ตอนนั้นลุกขึ้นมา โอ๊ย ทำไมปาแรงจังวะ รอยเป็นกลมๆ อย่างนี้
กอล์ฟ: จำไม่ได้แล้ว
ไมค์: เป็นแดงๆ กลมๆ อย่างนี้ จำได้
กอล์ฟ: แล้วปาทำไม
ไมค์: โมโหเรื่องอะไรสักอย่าง
กอล์ฟ: มันจะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ความหยุมหยิม หรือด้วยความที่พี่น้อง เหมือนกับไมค์ห่างจากกอล์ฟประมาณ 2 ปีเนอะ เวลาเราทำอะไรเป็นคนที่อยากให้ไปสุด เราก็อยาก push คนข้างๆ ให้ไปสุดเหมือนกับเราด้วย ความที่เราเด็ก เราอาจจะไม่สามารถ ไตร่ตรองได้ว่า จริงๆ แล้วบางคน อาจมีคาแร็กเตอร์ที่ไม่เหมือนกันนะ เขาก็จะไม่มีความเหมือนเราในจุดนี้ที่เรา alert อยู่ตลอดเวลา เหมือนอยากให้เขาทำในสิ่งที่ไปในเวย์แบบเรา เราก็อาจมีการพูดจาที่ไม่ค่อยรักษาน้ำใจ เหมือนพูดตรงไปหน่อย โดยที่เราก็ไม่รู้ว่า น้องรู้สึกไม่ดีกับคำพูดนั้นหรือเปล่า ขอโทษนะ…
ไมค์: แต่ก่อนขี้รำคาญไง ไม่ได้น้อยใจ มันจะมีบางโมเมนต์ที่ชอบแกล้ง จริงๆ
กอล์ฟ: ไม่ ตอนเด็กก่อนออกเทป
ไมค์: โน โน ออกอัลบั้มแล้ว เพราะผมชอบร็อก ผมชอบเพลงร็อก มันมีอยู่ยุคหนึ่ง จำได้มั้ยชอบเพลงร็อก
กอล์ฟ: เจร็อกๆ
ไมค์: เป็นคนแรกเลยที่อยู่ในวงการป๊อป แล้วเขียนขอบตาแล้วใส่คอนแท็กต์เลนส์สีเขียว
กอล์ฟ: แล้วคิ้วบางๆ
ไมค์: แล้วคิ้วบางๆ รองเท้า ปกติเขาจะใส่… รองเท้าสนีกเกอร์ใช่มั้ย รองเท้าสนีกเกอร์เต้นจะสบายกว่า ผมมาเลยร้องเท้าบู๊ตร็อกเกอร์ต้องบู๊ตเท่านั้น ใส่บู๊ตมาเลย นี่ก็จะมากับแดนเซอร์ มาแซว รวมหัวกับแดนเซอร์ หัวเราะ คิกๆ คักๆ กัน ดูใส่รองเท้าบู๊ต แล้วก็มาแซวเรา เราก็นิ่ง โมโห แต่นิ่ง
กอล์ฟ: พี่กอล์ฟไม่ได้เริ่มนะเอาจริงๆ ถ้างั้นต้องพี่บัสโซ่
ไมค์: ตัวแรกเลย
กอล์ฟ: อุตส่าห์โบ้ยคนอื่น จะมียุคหนึ่งที่ไมค์ขอบตาเข้มๆ คิ้วบางๆ ผมไปข้างหลัง แต่กอล์ฟจะใส่หมวกฮิปฮ็อป
ไมค์: สโมกกี้อายตอนนั้นจำได้ ยุคสโมกกี้อายของผม
กอล์ฟ: ช่วงนั้นที่เราอาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมไม่ไปเวย์เดียวกัน อาจจะมีความแบบไม่เข้าใจ
ไมค์: ใช่ๆๆ
ตอนนั้นเคยอยากเคลียร์ใจกันมั้ยคะ
กอล์ฟ: เคลียร์ๆ เคลียร์อยู่เนี่ยครับ
ไมค์: ไม่ได้มีอะไรต้องเคลียร์ ทุกวันนี้เล่าเป็นเรื่องตลกเลย เล่าเป็นเรื่องขำๆ เรา 30 ปุ๊บ เดี๋ยวเราก็รู้เอง ว่าไม่มีอะไร
กอล์ฟ: เหมือนเราแยกย้ายกันไปโต แล้วเราก็ไปมีประสบการณ์นั่นนู่นนี่ ด้วย mentality เราโตขึ้น เรามีความนึกย้อนกลับไป จริงๆ ถ้าเราย้อนกลับไปได้ เราก็อยากบอกตัวเองตอนนั้นว่า เออ…ปล่อยให้น้องอยากเป็นอย่างที่อยากเป็นไปเถอะ ช่างมัน อย่าไปอะไรให้มันต้องเหมือนกัน ไปในทิศทางเดียวกัน เหมือนโปรดิวเซอร์ หรือผู้ใหญ่เขาโอเคกับการที่ออกมาแบบนี้ แสดงว่าเขาโอเคแล้ว ในความเป็นเจร็อก จะเป็นฮิปฮ็อปคนหนึ่ง อาจจะเป็น compilation ที่ดีก็ได้ ความเป็นพี่ด้วย และมุมมองความเป็นอาร์ติสต์จัดเกินไป ฉันอยากให้มันไปในเวย์เดียวกัน จะได้ดูเป็นคอนเซ็ปต์เดียวกัน
ความแตกต่างของศิลปินยุค Y2K กับยุคนี้
ไมค์: ความคลาสสิก พอคิดไปคิดมามันก็ไม่ได้คลาสสิกไง พอเราหลับตาแล้วเราบอกว่าคลาสสิก พอหลับตาแล้ว ทรงผมรากไทรมันจะคลาสสิกยังไงวะ
กอล์ฟ: กอล์ฟมองว่า สิ่งที่ยุคนี้แตกต่างจากยุคตอนนั้นคือ ทุกอย่างที่ได้มาในยุคนั้น ยากกว่าเยอะ ทุกอย่างที่เป็นความรู้ ในการเป็นศิลปิน มันต้องขนขวายมากกว่าเยอะ ยุคนี้เราจะมีโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงทุกอย่าง และมีทุกอย่างที่คุณอยากดู ทุกอย่างที่คุณอยากเรียนรู้ ง่ายมากที่แค่พิมพ์แฮชแท็กเข้าไป แต่ในยุคนั้นไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นเวลาที่เราอยากทำอะไรสักอย่างให้เป็น เราต้องไปขนขวายหาคีย์เวิร์ด หาว่ามันคืออะไร และคอนเทนต์ที่จะหามาศึกษา มันมีแค่นี้ แต่ตอนนี้คือเยอะไปหมด เราอยากจะดูไมเคิล แจ็กสัน เต้นยังไง moon walk วิดีโอสอน moon walk มันน้อยมาก ภาพแตกๆ ดาวน์โหลดคลิปไมเคิลมาดู ขยับทีละเฟรม ว่าเขาทำอย่างไร มันก็… มันก็ยากกว่าสมัยนี้เยอะ ที่มีอะไรให้ศึกษาได้ง่าย มีโรงเรียนสอนเต้นเปิดเป็นดอกเห็ด สมัยก่อนนับชื่อโรงเรียนได้เลย มีแค่กี่โรงเรียนสอนเต้น
ไมค์: ยุคนี้ไม่มีอีกี้ มันคือความคลาสสิกที่หาในยุคสมัยนี้ไม่ได้แล้ว ยุคที่ผ่านมาแล้ว ไม่สามารถกลับไปในยุคนั้นได้ คือมันมีความหายากอยู่ เรากลับไปดูภาพวินเทจ ของวินเทจ ในยุคสมัยนี้หาไม่ได้แล้ว ผลิตมาแต่เทคโนโลยีใหม่ๆ ล้ำๆ กอล์ฟ-ไมค์ ก็เป็นเหมือน ของเก่าๆ ประวัติศาสตร์ วัตถุโบราณ
กอล์ฟ: ไม่ใช่วัตถุโบราณ โห…พูดซะเสีย
ไมค์: มันเป็นฟีลตำนานผมรากไทรยุคนี้เอามาทำก็ตลก แต่เราอยู่ในยุคหนึ่งที่ทรงผมนั้นเท่มาก
แล้วตอนนั้นรู้สึกอย่างไรกับผมรากไทรของตัวเอง
กอล์ฟ: ตอนนั้นมันก็เท่นะ ณ ตอนนั้นมันคือแฟชั่นในยุคหนึ่ง เอาง่ายๆ ดีเจเอไทม์ทำผมทรงนี้หมดทุกคนเลย ทุกคนพยายามเข้าร้านตัดผม เป็นทรงกอล์ฟ-ไมค์ ก็จะมีรูปกอล์ฟ-ไมค์ แปะในร้านตัดผม
ไมค์: เราสองคนคือหน้าที่ต้องอยู่ในทุกร้านตัดผม
แล้ววันนี้ล่ะ ย้อนกลับไปดูทรงผมรากไทรของตัวเองรู้สึกอย่างไร
กอล์ฟ: มันดีอยู่ในยุคนั้นอยู่แล้วเหมือนกัน
ไมค์: เขาบอกว่าให้อยู่กับปัจจุบัน (หัวเราะ) บางทีก็ต้องทิ้งอดีตไว้บ้างในอดีต แล้วอยู่กับปัจจุบันจะมีความสุขครับ มันก็เป็นความทรงจำดีๆ อันหนึ่ง
กอล์ฟ: ครั้งหนึ่งเราเคยเป็น Trend Setter ให้กับทรงผมของผู้ชาย หรือแม้กระทั่งผู้หญิงบางคนก็ตัดตาม
ไมค์: ทั่วประเทศ ตอนนั้นทั่วประเทศ
ความประทับใจระหว่าง กอล์ฟ–ไมค์ กับแฟนคลับ
กอล์ฟ: วันแถลงข่าวที่แฟนๆ มากันเยอะมาก ต่อให้มันจะ 14 ปี เกินกี่สิบปีผ่านไป เขาก็ยัง…
ไมค์: บางคนหน้าเดิม เราจำได้
กอล์ฟ: ที่เคยมาตามงานเราตอนเป็น กอล์ฟ-ไมค์ เขามาก็เหมือนมันค่อนข้างย้ำ ชื่อเพลงเราเพลงหนึ่งที่ร้อง “เขายังยืนอยู่ที่เดิมเสมอไป”
ไมค์: ถึงแม้ผมจะลืมชื่อเพลง เนื้อเพลง อะไรก็ตามแต่ แต่ผมไม่ลืมพวกเขาครับ เห็นหน้าก็ยัง เฮ้ยๆ คนนี้ เราคุ้นกันนะ
แค่เขามาซัพพอร์ตให้เราเห็นบ้าง นิดๆ หน่อยก็ถือว่าเป็นกำลังใจที่ดีนะสมัยนี้
กอล์ฟ: วันนั้นเห็นน้องคนหนึ่งมา นั่งรถเข็นมาเลยครับ เขามาหา เรารู้สึก จริงๆ ทั้งฝนตก รถติด เขาจะไม่มาก็ได้ แต่เขาก็มา เขาบอกอยากมาเจอหลายปีแล้ว ได้มีโอกาสมา แค่การมาของเขา ก็คือสิ่งที่เราได้เห็นว่าเขาตั้งใจมาซัพพอร์ตจริงๆ มันยังไม่ได้หายไป เขายังซัพพอร์ตเราอยู่ตรงนี้ เราเข้าใจว่าบางคนอาจจะติดภาระนั่นนู่นนี่ ความที่แฟนๆ เขาก็โตมากับเราเนอะ เขาก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่เขาต้องดูแล บางคนอาจจะมีสามี มีลูกแล้วที่ต้องดูแลเห็นเป็นความพยายามมากกว่า
ไมค์: พอโตขึ้นเราก็จะไม่ได้มองว่าเขาทำอะไรให้เราเป็นชิ้นเป็นอัน เขาเอาอันนี้มาให้เรา นู่นนั่นนี่ เราจะมองแค่ความพยายามของเขามากกว่าที่สร้างกำลังใจให้กับเรา
ประสบการณ์ในวงการบันเทิงหล่อหลอมให้เป็นอล์ฟ–ไมค์ในวันนี้อย่างไร
กอล์ฟ: มันมีหลายประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ เราเป็นตั้งแต่เด็กฝึกหัด จนได้ออกอัลบั้ม ออกอัลบั้มมาเป็นกอล์ฟ-ไมค์ แยกกันไปเติบโต ทุกจุดของชีวิตมันเป็นจุดที่ ทำให้เราพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆเราก็ต้องปรับตัวเองเข้าตามยุคสมัยของวงการบันเทิงด้วย เราอยู่ตั้งแต่ยังไม่มี TikTok ยูทูบมีแล้วตอนนั้น แต่ยังไม่ Bold หรือดังขนาดนั้น ทุกคนดูเอ็มวีต้องยูทูบอย่างเดียว แต่ก่อนต้องรอดูทีวี เราก็ต้องพยายามปรับตัวเองเข้ากับยุคสมัย แล้วก็พยายามพัฒนาอยู่เรื่อยๆ เพื่อเราจะได้ทำงานอยู่ตรงนี้ได้ไปเรื่อยๆ ครับ อย่างมีศักยภาพครับ มันก็หล่อหลอมให้เราต้องพัฒนาตัวเอง แต่ base on ทำอะไรที่เรารัก ทำอะไรที่เราชอบ ถ้าเราทำอะไรที่เรารัก ทำอะไรที่เราชอบ เราจะทำมันอยู่ได้เรื่อยๆ อย่างมีความสุข
ไมค์: ก็คล้ายๆ กันคือ ประสบการณ์ก็เจออะไรมาเยอะในวงการเนอะ เพราะว่าวงการนี้ คือมันก็ไม่ใช่วงการที่อยู่ได้ง่ายๆ เลย ไม่ได้ราบรื่น และอยู่ค่อนข้างยาก มีทั้งบวกทั้งลบด้วย ก็เจออะไรมาเยอะ ประสบการณ์ ความผิดพลาดต่างๆ นานา หลายๆ อย่างที่เราเจอมา มันก็หล่อหลอมจนกลายเป็นตัวเรา ณ ปัจจุบันนี้ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปได้ เราไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ยังอยากให้มันเป็นเหมือนเดิมอยู่
มายด์เซ็ตในวงการของผมก็คือแค่ว่า เราไม่ชอบวนลูปเดิม ต่อให้เราจะต้องหายไปจากวงการสักแป๊บหนึ่ง หรือกี่ปีก็แล้วแต่ แต่ถ้ามันวนลูปเดิมก็…ผมแค่คิดว่า มันก็ซ้ำๆ เดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มันต้องอัพเกรดไปเรื่อยๆ คือผมจะถามตัวเองตลอด What’s Next? อะไรต่อ โอเค ดังจากเรื่องนี้แล้วยังไงต่อ เล่นละครต่อไปเรื่อยๆ เหรอ หรือทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะ…วันหนึ่งก็จะมีรุ่นใหม่มาอีกอยู่ดี เฉพาะนั้นเราต้องมี Road Map ของเรา แพลนของเราว่า เราจะแมเนจตัวเองในเรื่องแบรนดิ้งยังไง ไปยังไงต่อ ทำยังไงต่อ การหายไปจากสื่อหรือมีเดียก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำแบรนดิ้งของตัวเองเหมือนกัน ตอบตรงคำถามมั้ย
กอล์ฟ: ตรงๆ
ไมค์: บางทีเราไปรีเซต ไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บางทีเราไปเตรียมตัวที่จะ เหมือนกับว่าอัพเกรด career ของตัวเอง เป็นอีกอาชีพหนึ่ง คืออัพเลเวลของมัน ซึ่งก็ใช้เวลาครับ
กอล์ฟในมุมของคุณลุง และไมค์ในมุมของคุณพ่อ
กอล์ฟ: ทำไมคุณลุงดูแก่จัง สปอยล์หรือเปล่า ไม่น่าจะเท่าคุณพ่อเขานะครับ
ไมค์: อุ๊ย แรงมากเลยอะ ผมเป็นสายเปย์ด้วย ถามว่าสปอยล์มั้ย สปอยล์อย่างมีสติ ไม่ได้สปอยล์จนเกินไป มีเหตุผล ถ้าอยากได้อันนี้ คุณต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยน ความดี หรือ Promise อะไรบางอย่าง เพื่อให้เขารู้ว่า พวกนี้ที่คุณได้มันไม่ควรจะฟรี ถ้าคุณไม่ได้ทำเอง ถ้าไม่ได้เป็นคนทำหรือสร้างมันขึ้นมาเอง สิ่งเหล่านี้ที่ได้ มันไม่ควรได้แบบฟรีๆบางทีให้ได้แบบฟรีๆ แต่ว่าในฐานะวันพิเศษ ผมก็จะบอกว่า ถ้างั้นรอวันเกิดแล้วกัน ยูรอได้มั้ย ถ้ายูรอได้ ก็จะดับเบิลเป็น 2 เท่าให้ แต่ถ้ายูรอไม่ได้ตอนนี้ คือยูได้แค่อันเดียว เป็นการฝึกให้เด็กมีความอดทนในการรอมากขึ้น ถ้าเขารอไม่ได้ ก็จะให้เขารู้ไว้เลยในมายด์เซตเขาเวลาโตขึ้น มันจะฝังไว้เลยว่า คุณก็จะได้แค่อันเดียว แต่ถ้าคุณรอ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ก็จะค่อยๆ ปลูกฝัง ด้วยอะไรพวกนี้มากกว่า
กอล์ฟ: ก็ให้เฉพาะวันพิเศษนะ วันเกิดแม็กซ์หรืออะไรแบบนี้
ในทางกลับกัน ลูกสอนอะไรให้กับไมค์บ้าง
ไมค์: หลายอย่างนะ ทั้งเรื่องของความใจเย็น หรือความคิด มายด์เซต พวกนี้ปรับเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ เพราะปกติแล้ว เรามักจะเป็นคนที่สอนคนอื่นมากกว่า แต่คือ พอเราสอนคนอื่นไปด้วย ก็เหมือนเรียนรู้จากคำสอนนี้ไปด้วยว่า เออ… ที่ผ่านมาเราสอนคนอื่น แต่เราไม่เคยทำได้นี่หว่า แต่พอมีแม็กซ์เวลล์ เหมือนกับว่าถ้าเราไปสอนเขา แล้วเราทำไมได้ เราก็ไม่สามารถสอนเขาได้ เราก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าอันนี้คือสิ่งที่คุณต้องทำ
กอล์ฟ: พอมีลูกเขาต้องโตขึ้นอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ มายด์เซตมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในบางมุมอาจจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่ากอล์ฟด้วยซ้ำไป ในมุมที่ต้องแมเนจอะไรบางอย่าง แมเนจอารมณ์การเลี้ยงลูก เด็กเนอะ มีความ compromise เยอะ เรายังไม่ไปถึงจุดที่มีตรงนั้น ก็รู้สึกว่าเขาทำได้ดีในฐานะพ่อที่ดูแลลูก มันมีเรื่อง… อย่างที่ไมค์บอก สปอยล์แค่ไหน ไม่สปอยล์แค่ไหน ถ้าเด็กโตขึ้นมา และถ้าเขาได้รับอย่างเดียว เขาต้องได้ๆ เขาจะมีความรู้สึกว่า โตขึ้นฉันต้องได้ เขาต้องมีเรื่องแมเนจของการสอน
ไมค์: ต้องบาลานซ์ บางทีได้ บางทีก็ไม่ให้
กอล์ฟ: มีมุมที่พอเราเห็นบางครั้ง เอ๊ย! เก็บเป็นความรู้ได้เหมือนกัน
ไมค์: มันคิดเยอะ การเลี้ยงลูกไม่ใช่ ปลุกเขา ส่งไปเรียน ต้องมีการแมเนจความคิดหลายๆ อย่าง ค่อนข้างเยอะครับไม่ใช่พ่อแม่ถูกเสมอ มันไม่เป็นเรื่องจริงเลย พอเลี้ยงลูกบางทีเราก็รู้สึกว่า มันก็มีบางเรื่องที่เราผิด เราก็ต้องปรับ
เตรียมพาลูกพาหลานมาดูคอนเสิร์ตด้วยมั้ย
ไมค์: ก็คิดว่าอยากจะพามาอยู่ เพราะว่ามันก็ One in a lifetime อยากให้เขาเห็น จริงๆ แด๊ดดี้เป็นอะไร ยังไงมาก่อน
กอล์ฟ: ให้เขาไป inspire ในอนาคต เห็นเขาเรียนเต้นอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเขาอยากจะทำมั้ย เหมือนไมค์เขาอยากให้ลูก… ถ้าจะเขาอะไรตรงนี้ เขาอยากให้โตกว่านี้ใช่ปะ
ไมค์: ให้โตพอที่จะตัดสินใจเองดีกว่า
กอล์ฟ: ไม่ได้ push ว่าเขาต้องเข้านะ เขาอาจจะชอบอย่างอื่นก็ได้ ใครจะไปรู้
ฝากคอนเสิร์ต GOLF–MIKE: BOUNCE TO THE FUTURE
กอล์ฟ: คอนเสิร์ตชื่อว่า BOUNCE TO THE FUTURE มันเป็นการเล่นคำ เหมือน BOUNCE กลับไป เหมือน BACK TO THE FUTURE เปลี่ยนคำว่า BOUNCE แล้ว BACK กลับไปในอดีตเพื่อไปเอาความทรงจำดีๆ กลับมาสู่อนาคต เอาความ BOUNCE กลับมาในปัจจุบัน ซึ่งมันอาจจะทำให้เป็นความทรงจำที่ทำให้คุณจดจำ ไปถึงอนาคต คือ Future ไปเลย แขกรับเชิญ G-Junior ก็มาย้อนวันวานกับพวกเรา พี่แซนด์ พี่แบงค์
แล้วก็… ยังบอกไม่ได้
ตอนนี้เราเปิดได้แค่นี้ก่อน เป็นโชว์ที่กอล์ฟว่าน่าจะได้เห็นเราในเวอร์ชั่นอัพเลเวลขึ้นมากกว่าแต่ก่อน มีเพลงมีวงที่เรา arrange ดนตรีใหม่ให้เข้ากับยุคสมัยด้วย และไม่ทิ้งความเป็นซาวนด์ออริจินัลของเราด้วย
ไมค์: ก็คอนเสิร์ต GOLF-MIKE: BOUNCE TO THE FUTURE 2 ธันวาคมนี้ ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ซื้อบัตรได้แล้ว บัตรใกล้จะหมดแล้ว จับจองซื้อบัตรได้ที่ the concert แอพริเคชั่น หรือ www.theconcert.com ครับแล้วเจอกัน