KinnPorsche The Series กว่าจะเป็นมาเฟีย บอดี้การ์ด และความรักของพวกเขา

account_circle
event

KinnPorsche The Series กว่าจะเป็นมาเฟีย บอดี้การ์ด และความรักของพวกเขา

แค่เปิดตัวปล่อย Trailer ก็ทำเอาอึ้งทึ่งไปทั่วแวดวงวาย มาวันนี้คงไม่ต้องอธิบายถึงความปังของKinnPorsche The Series” ออริจินัลซีรีส์วายเรื่องแรกของ iQiyi ที่ดัดแปลงมาจากนิยายมาเฟียบอดี้การ์ด “KinnPorsche Story: รักโคตรร้าย สุดท้ายโคตรรัก” เพราะตั้งแต่ EP แรกก็แรงดีไม่มีแผ่ว สร้างกระแสสนั่นโซเชียลอย่างต่อเนื่อง

แฟนๆ ทั้งในบ้านและต่างแดนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คุ้มค่าต่อการจับจ้องหน้าจอ เพราะครบรสทั้งเฮฮาบ้าบอ บู๊ดุเดือด ดราม่าน้ำตาไหล และเลิฟซีนร้อนแรงจนใจสั่น ซึ่งกว่าจะเป็นแต่ละซีนแต่ละฉากที่เราๆ ต้องร้องอื้อหือโอ้โหกันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย มายภาคภูมิ ร่มไทรทอง, อาโปณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ไบเบิ้ลวิชญ์ภาส สุเมตติกุล, บิวจักรพันธุ์ พุทธา, เจฟ ซาเตอร์ และบาร์โค้ดตฤณสิษฐ์ อิสระพงศ์พร มาเล่าให้ฟังว่า ใน KinnPorsche The Series กว่าจะเป็นมาเฟีย  และบอดี้การ์ด พวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง และสุดท้ายทำไมถึงโคตรรักซีรีส์เรื่องนี้เลย

 

บางคนคุ้นหน้า บางคนยังไม่คุ้น ไปไงมาไงทั้ง 6 คนถึงมาเป็นตัวละครใน KinnPorsche The Series ได้คะ

บาร์โค้ด : ผมไม่เคยแสดงละครหรือซีรีส์มาก่อนเลยครับ แต่โอกาสเข้ามาตอนที่ผมไปโรงเรียนสอนร้องเพลงกับพี่ แล้วพี่ลงรูปผมในสตอรี่ ครูเจที่สอนร้องเพลงก็แชร์สตอรี่นั้นต่อ พอพี่ปอนด์ (กฤษดา วิทยาขจรเดช ผู้จัด KinnPorsche The Series) เห็นสตอรี่นั้นเข้าก็มองว่าเด็กคนนี้ดูเป็นปอร์เช่ (ตัวละครในซีรีส์) น่าจะแสดงได้นะ เลยเรียกมาแคสต์ ซึ่งต้องบอกว่าวันนั้นผมตื่นเต้นและทำตัวไม่ถูกเลย แต่รู้สึกเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างทำให้แสดงออกมาได้ จนถูกเลือกให้มารับบทปอร์เช่ นับว่าเป็นโชคดีของผมจริงๆ ครับ

ไบเบิ้ล : KinnPorsche The Series ก็เป็นซีรีส์เรื่องแรกของผมเหมือนกันครับ ก่อนหน้านี้ผมเป็นนักศึกษาธรรมดา เรียนวิศวกรรมเครื่องกล ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ แล้วได้ประกวดดาวเดือน เลยมีรุ่นพี่พาเข้าโมเดลลิ่ง จากนั้นก็แคสต์งานเรื่อยมา น่าจะ 30 ครั้งได้ แต่ไม่เคยผ่านเลย จนได้ข่าวว่า KinnPorche The Series กำลังเปิดออดิชั่น โชคดีมีพี่ที่รู้จักเขารู้จักกับนักเขียนเรื่องนี้อีกที เลยเสนอเราไป ซึ่งพอทางนักเขียนเห็นเราก็คิดว่าเหมาะกับตัวละครเวกัส

พอรู้ว่าน่าจะมีโอกาส ผมจึงทุ่มสุดตัว ไปฝึกการแสดงกับรุ่นพี่ที่เคยทำโปรดักชั่นอย่างเข้มข้น ต่อเนื่องสามวันสามคืน ทั้งอ่านนิยาย วิเคราะห์ตัวละคร คือเตรียมตัวหนักมากเหมือนเตรียมสอบเลย พอไปออดิชั่นปรากฏว่าต้องออดิชั่น 2 รอบ  เพราะครั้งแรกพี่ปอนด์ไม่ทันได้เห็น เลยต้องแสดงอีกรอบเพื่อให้เขาเห็นว่าเราทำได้จริง เชื่อว่าผมคือตัวละครเวกัสจริงๆ ซึ่งก็ผ่านมาได้ครับ

บิว : สำหรับบิว ก่อนมาเล่นซีรีส์เรื่องนี้เคยผ่านงานละครมาบ้าง เช่น พราวมุก ตราบาปสีชมพู แต่หลังจากนั้นก็ห่างหายจากงานละครไปพักหนึ่ง เพื่อไปทำงานกราฟิกดีไซน์เนอร์ให้บริษัทต่างชาติ เพราะอยากทำงานเบื้องหลังมาตลอด เลยลองเก็บเกี่ยวหาประสบการณ์ด้านนี้ดู แต่อีกด้านหนึ่งก็คิดถึงการทำงานในกองถ่าย เพราะผมชอบอยู่ในกอง รู้สึกว่าอยู่ในกองมันสนุก ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง พอหยกกับปอย นักเขียนเรื่องนี้มาเสนอคาแรกเตอร์พีทให้เล่น ก็เลยสนใจ แม้ว่าตอนแรกจะคิดว่าค่อนข้างห่างไกลตัวเราพอสมควร แต่พอได้ลองเล่นจริง ๆ แล้วก็ได้เห็นว่าผมกับพีทมีอะไรบางอย่างที่คล้ายกันอยู่

มาย : ของผมก่อนหน้านี้ทำงานเกี่ยวกับการลงทุน แต่ก็รับงานแสดงเป็นงานอดิเรกบ้าง อย่าง MV โฆษณา จนวันหนึ่งไปออกรายการหนึ่งแล้วเจอนักเขียนเรื่องนี้ ซึ่งเป็น producer ของรายการนั้นพอดี แล้วหลังจากนั้น 5-6 เดือนเขาก็ติดต่อมา บอกให้ไปแคสต์เรื่องนี้หน่อย เพราะเขาเขียนมาจากเรา ซึ่ง ณ วันนั้น KinnPorche The Series เป็นซีรีส์วายเรื่องที่ 6 แล้วที่ติดต่อเรามา เลยมานั่งคิดว่า ตัวเราเองก็ 28 จะ 30 แล้วนะ เรื่องเงินน่ะหาเมื่อไรก็ได้ แต่สิ่งที่อาจจะหาไม่ได้แล้วคือประสบการณ์ที่ต้องใช้รูปลักษณ์ภายนอกเป็นส่วนประกอบ ถ้า 40 ไปแล้ว การจะเป็นพระเอกก็คงยากกว่าตอนนี้ อีกอย่างเรื่องนี้ก็เป็นซีรีส์วายแนวใหม่ น่าจะทำให้เกิดอะไรใหม่ ๆ ในวงการได้ เลยลองมาออดิชั่นครับ

เจฟ : ส่วนเจฟ ก่อนหน้านี้เป็นนักร้องอยู่ประมาณ 8 ปี แล้วหยุดไปพักหนึ่ง เพราะรู้สึกหมด passion ไม่อินแล้ว ก็เลยเลิก พอดีกับพี่ป๊อป Project Manager ของ Warpertv ชวนมาทำหนังสั้น ทำให้ได้ลองชิมลางการแสดงเป็นครั้งแรก แล้วรู้สึกชอบมาก เพราะเป็นการเล่าเรื่องเหมือนกับการร้องเพลง เพียงแต่แตกต่างที่วิธีการและแบบฟอร์มในการเล่า จากนั้นก็เล่นมินิซีรีส์เรื่อง Ingredients แล้วได้ยินข่าว KinnPorche The Series เลยสนใจ เข้าไปอ่านพล็อตเรื่อง และลองมาแคสต์ดู

ตอนแรกเจฟแคสต์ในบทอื่น แต่ทีมบอกว่าไม่เหมาะกับเรา เพราะเราหน้าลูกครึ่ง เลยให้แคสต์บทแทนคุณที่เป็นลูกครึ่งแทน ซึ่งถ้าได้บทนั้นต้องเล่นเป็นพี่ของพี่มายอีกที (หันไปมองมาย ก่อนหัวเราะร่วน) แต่พอลองแคสต์แล้วทีมงานเห็นว่าไม่เหมาะ เลยให้ลองบทคิม ซึ่งตามคาแรกเตอร์ต้องตี๋มาก ในขณะที่เราไม่ตี๋เลย แต่พอลองเล่นแล้วเขาบอกว่าเห็นอะไรบางอย่างจากตัวเราในบทนี้ เลยเรียกไปแคสต์อีกทีพร้อมกับอีกหลายคนที่มาแคสต์บทนี้เหมือนกัน เราก็พยายามอ่านนิยาย ซึ่งจริงๆ แล้วตัวละครนี้ไม่ได้ออกมาเยอะ ทำให้ไม่ค่อยรู้จักเขาเท่าไร แต่ก็ลองตีความตัวละครแล้วแสดงออกมา สุดท้ายทางทีมก็ตัดสินใจให้เรารับบทนี้ โดยที่ไม่ได้อิงตามคาแรกเตอร์ในนิยาย แต่ใช้ความรู้สึกว่า คิมน่าจะเป็นแบบนี้มากกว่า

อาโป : โปเป็นนักแสดงมาตั้งแต่อายุ 19 จนถึงประมาณ 24-25 ซึ่งตรงกับช่วงที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยรังสิตปี 3 ปี 4 จากตรงนั้นเรามองว่าอีกไม่นานก็จะ 30 แล้วนะ เลยอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ทำในสิ่งที่อยากทำ จึงตัดสินใจไปต่างประเทศ อยู่ที่นั่นได้ประมาณ 6 เดือน ก็เจอเข้ากับโควิด-19 ที่ทำให้ทุกอย่างติดขัดไปหมด จะออกไปข้างนอกก็ไม่ได้ ความใกล้ชิดกับเพื่อนกับครอบครัวของเพื่อนก็หายไป ไม่มีอะไรให้ทำ พอเห็นว่าที่เมืองไทยสถานการณ์ดีขึ้น เลยตัดสินใจกลับมาไทยดีกว่า ซึ่งพอมาถึงปุ๊บ ผู้จัดการก็เสนอให้ไปแคสต์ KinnPorche The Series ปั๊บ ในบทพอร์ชนี่แหละ เพราะทีมเขามองว่าบุคลิกภาพเราได้ และเคยดูผลงานเรามาบ้าง รู้ว่าแอคชั่นได้ เลยอยากให้ลองไปแคสต์บทนี้ดู ซึ่งพอแคสต์ปั๊บ ก็รู้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่า เราต้องสนิทกับตัวละครที่ชื่อว่าพอร์ชแน่นอน เพราะนิสัยบางมุมและวิธีการพูดของเขาคล้ายเรามาก

KinnPorsche The Series กว่าจะเป็นมาเฟีย

KinnPorsche The Series กว่าจะเป็นมาเฟีย และบอดี้การ์ด

แต่ละบทมีคาแรกเตอร์อย่างไร และแต่ละคนต้องเตรียมตัวกันหนักขนาดไหน

มาย : บทคินน์ที่ผมเล่น เป็นลูกคนกลางของตระกูลหลัก ซึ่งไม่ถูกกับตระกูลรอง (หันไปมองไบเบิ้ลที่รับบทเวกัส ลูกชายของตระกูลรอง) เราสองคนไม่ถูกกัน (ส่งยิ้มก่อนเล่าต่อ) คินน์ต้องรับอำนาจทุกอย่างต่อจากพ่อ เป็นคนควบคุมอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในตระกูล เลยมีการแข่งขันระหว่างตระกูลหลักและตระกูลรอง ส่วนตัวคินน์เอง ภายนอกจะมีบุคลิกอย่างหนึ่งเพื่อให้สังคมทั่วไปเห็น แต่ตัวตนจริงๆ ของเขาจะเป็นอีกแบบหนึ่งที่ต่างกัน การที่ต้องมารับบทมาเฟีย ผมเริ่มจากการทำความเข้าใจกับอิทธิพลบางอย่างแบบไทยๆ ผ่านคนรู้จักในวงการนี้ที่อาจจะมีอยู่บ้าง โชคดีที่ซีรีส์เรื่องนี้ใช้เวลาในการเตรียมตัวก่อนถ่ายทำค่อนข้างนาน เลยมีเวลาในการทำความเข้าใจและนำเอาข้อมูลและวัตถุดิบเหล่านั้นมาปรับใช้ครับ

อาโป : บทพอร์ช เป็นนักสู้และเสาหลักของบ้าน เขาสู้เพื่อตัวเอง สู้เพื่อน้อง สู้เพื่อให้ชีวิตของทุกคนผ่านไปได้ในแต่ละวัน  ซึ่งพอเป็นเสาหลักของบ้าน เขาก็ต้องเก็บสิ่งที่ต้องการจริงๆ ไว้ข้างในลึกๆ จนวันหนึ่งเมื่อได้มาเจอคินน์ คินน์คือคนที่เติมเต็มตรงนั้น และด้วยความที่พื้นเพของพอร์ชไม่ได้เป็นบอดี้การ์ดมาก่อน แต่ถูกกดดันให้ไปอยู่ในวงการนั้น วิถีการใช้ชีวิตของเขาจึงเหมือนคนปกติคนหนึ่ง ที่อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ ถึงจะเข้าไปเป็นบอดี้การ์ดแล้วพอร์ชก็ยังมีนิสัยเหมือนเดิม

ไบเบิ้ล : สำหรับเวกัส อย่างที่พี่มายเล่าไปคราวๆ ว่าเป็นคู่แข่งของคินน์ เพราะเป็นลูกคนโตของตระกูลรอง ทั้งชีวิตของเขาจึงถูกเปรียบเทียบกับคินน์มาโดยตลอด เวกัสเลยต้องพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งการรับบทนี้ผมไม่ได้ไปหยิบยืมคาแรกเตอร์มาจากบทมาเฟียในหนังหรือซีรีส์เรื่องอื่น แต่พยายามเข้าใจถึงแรงจูงใจของตัวละคร พอเราเข้าใจว่าตัวละครนี้เติบโตมาในโลกแบบไหน เจออะไรมาบ้าง แอคชั่นหรือการกระทำของเขาจะแสดงออกมาเอง

บาร์โค้ด : ผมเล่นเป็นปอร์เช่ น้องชายของพอร์ชครับ คาแรกเตอร์ก็จะน่ารักๆ เป็นน้องชายที่รักเฮียมาก อยู่กับเฮีย คอยช่วยเหลือเฮีย เรื่องการแสดงผมเคยฝึกที่โรงเรียนมานิดหน่อยเลยมีทักษะอยู่บ้าง มาเสริมด้วยการเรียนกับครูหนิงเพิ่มเติมตอนเวิร์คช็อป ก็ทำให้เข้าใจศาสตร์ของการแสดงลึกซึ้งขึ้น แต่ด้วยความที่ชีวิตส่วนใหญ่ในช่วงนี้ต้องเรียนออนไลน์อยู่แต่ในบ้าน ทำให้ทักษะการพูดของผมไม่ค่อยดี เลยต้องฝึกด้วยการกัดฝาขวดน้ำแล้วพูด เพื่อให้ลิ้นเรามีความยืดหยุ่นขึ้น คุ้นชินกับคำที่ต้องพูดมากขึ้น จนถึงตอนนี้ผมก็ยังต้องฝึกพูดเรื่อยๆ เพื่อให้พูดเก่งขึ้น อีกอย่างคือ เมื่อก่อนผมค่อนข้างอ้วน ก็ต้องลดน้ำหนักให้ผอมลง เพื่อที่พอเข้ากล้องจะได้ไม่ดูอ้วนเท่าไรครับ

บิว : บิวรับบทพีท หัวหน้าบอดีการ์ดที่อยู่กับตระกูลหลัก มีหน้าที่ในการดูแลคุณหนูแทนคุณ แต่ก็มีเรื่องให้พบเจอกับตระกูลรองก็คือเวกัส โดยคาแรกเตอร์ พีทเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดที่ชอบมอบความสุขให้กับคนอื่น ยิ้มให้กับทุกปัญหา เพื่อนๆ เลยให้ฉายาว่าพระอาทิตย์ (หัวเราะ) ส่วนตัวบิว เรื่องของการเป็นบอดี้การ์ดก็ต้องทำการบ้าน ไปหาหนังมาดูว่าคาแรกเตอร์ของบอดี้การ์ดส่วนใหญ่เป็นยังไง แล้วเอามาปรับเป็นรูปแบบของตัวเอง นอกจากนี้ยังต้องเตรียมตัวเรื่องรูปร่างด้วย ก็ต้องฟิตเนส กินผักกินหญ้าไปครับ (หัวเราะ)

เจฟ : ถ้าพูดถึงคิม ในนิยายบอกว่าเป็นน้องชายของแทนคุณและคินน์ ซึ่งมีความติสต์มาก ออกจากบ้านไปไม่ได้อยู่ในครอบครัว แต่ในซีรีส์มีความต่าง สร้างให้คิมเป็นตัวแทนของวัยรุ่นยุคนี้ที่มีแพชชั่นบางอย่าง ถ้าต้องการอะไรก็จะทำให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น และเขามีโลกสองใบ เบื้องหน้าและเบื้องหลังไม่เหมือนกัน ซึ่งความที่เป็นมาเฟียก็ต้องมีการใช้อาวุธ ใช้ปืน เราก็ต้องซ้อมยิงปืน ซ้อมเรื่องคิวบู๊ เสริมสร้างความยืดหยุ่นร่างกาย เพื่อที่เวลาเข้าฉากจะได้ไม่อันตราย และที่สำคัญมากๆ อีกอย่างคือการเข้าใจภูมิหลังการเติบโตของมาเฟีย ผมก็ไปดูหนัง ดูประวัติของมาเฟียจริงๆ เพื่อเติมเต็มส่วนนี้ครับ

KinnPorsche The Series กว่าจะเป็นมาเฟีย

นิยายเรื่องนี้ดังมากในธัญวลัย เครียดแค่ไหน กดดันมากหรือเปล่า กับการมาสวมบทบาทสำคัญใน KinnPorsche The Series 

เจฟ : บอกตามตรงว่าแรกๆ ผมกดดัน เพราะคนดูคาดหวังไว้สูงมากจากนิยายที่เป็นอันดับหนึ่งในธัญวลัย รู้สึกว่าถ้าเราเป็นตัวละครนั้นได้ไม่ดีพอ ต้องโดนถล่มแน่นอน แล้วเจฟเองยังมีความกดดันเรื่องเพลง เพราะทำเพลงประกอบซีรีส์ด้วย ไม่รู้ว่าจะถูกใจคนดูไหม แต่พอเข้าฉากเป็นคิมจริงๆ แล้วเลิกสนใจความคาดหวัง ก็ทำให้ทั้งการแสดงและการทำเพลงเดินหน้าต่อไปได้

ไบเบิล : ผมก็กดดันครับ กดดันทุกอย่างเลย เพราะเป็นซีรีส์เรื่องแรกของผมด้วย แล้วคนที่อ่านนิยายหลายคนก็ชอบตัวละครเวกัสมาก ทำให้รู้สึกว่าถ้าผมทำออกมาไม่ถึง คนดูจะผิดหวัง เลยต้องทำการบ้านเยอะมากครับ

บิว : สำหรับตัวผมกดดันตั้งแต่แรกเลย แต่พอได้ทำไปแล้ว ความรู้สึกกดดันนั้นก็หายไป เพราะได้แฟนๆ ที่ได้ดูแล้วบอกว่าตัวละครนี้เหมือนเดินออกมาจากนิยายเลย ทำให้เรารู้สึกใจชื้นขึ้น ต้องขอบคุณที่เปิดใจรับตัวละครตัวนี้ครับ

บาร์โค้ด : คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความกดดันอยู่ แต่มีสิ่งที่เรียกว่าความตั้งใจมากลบความกดดันของผมหมดเลย บางช่วงผมต้องสอบปลายภาคและมาถ่ายซีรีส์ไปด้วย ถ่ายเสร็จก็ต้องกลับบ้านไปอ่านหนังสือต่อ เพื่อที่จะสอบในวันรุ่งขึ้น ก่อนจะออกมาถ่ายทำอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ก็มีความตั้งใจที่ช่วยให้ผ่านจุดนั้นมาได้ครับ

อาโป : บอกตามตรงว่าผมไม่กดดันเลย เพราะรู้สึกว่าต่อให้เราทำเต็มที่แค่ไหนก็ตาม สุดท้ายถ้าคนดูคนอ่านจินตนาการไปอีกแบบ ก็ไม่สามารถควบคุมได้อยู่ดี นั่นหมายความว่า เมื่ออยู่หน้าฉากเราแค่ต้องทำให้เต็มที่ในแบบที่คิดว่าตัวละครจะทำ เท่านั้นเอง ซึ่งพอคนส่วนใหญ่ได้ดูแล้วบอกว่าเหมือนตัวละครเดินออกมาจากหนังสือเลยก็รู้สึกดีใจ ที่เรากับเขาตีความในแบบเดียวกัน เชื่อในแบบเดียวกัน เห็นพอร์ชในแบบที่เราเห็น เป็นสิ่งที่ทำให้ดีใจครับ

มาย : ผมก็ไม่กดดันครับ เพราะโฟกัสที่การทำงานมากกว่า อยากทำโอกาสที่ได้มาให้ดีที่สุด ถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุด ตามแบบที่คิดว่าควรจะเป็น ในมุมของเราเองและในมุมของทีมงานมากกว่าครับ

KinnPorsche The Series กว่าจะเป็นมาเฟีย

คนดูกรี๊ดเลิฟซีนมาก ทั้งฉากจิ้นแบบน่ารักๆ และฉากแซ่บสุดร้อนแรง ในฐานะนักแสดงรู้สึกยังไง มีเขินกันเองบ้างไหม

มาย : สำหรับผมซีนแซ่บร้อนแรงไม่เขินเลยครับ แต่จะเขินซีนน่ารักๆ มากกว่า

อาโป : สโลแกนเขาคือสุภาพแต่เร่าร้อน (หันไปยิ้มให้มาย) เห็นเท่แบบนี้ แต่ตัวจริงเขาเป็นคนน่ารัก ซึ่งเป็นมุมที่คนอื่นไม่ค่อยได้เห็น พอต้องมาแสดงความน่ารักต่อหน้าคนอื่นก็เลยเขิน ส่วนโปเขินบ้างไม่เขินบ้าง โชคดีที่พาร์ทเนอร์ดี (หันไปยิ้มให้มายอีกที) เขาเป็นคนที่อบอุ่น ทำให้คนที่อยู่ด้วยรู้สึกปลอดภัย พอเล่นกับเขาก็เลยไม่เขิน รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมากกว่าครับ

เจฟ : ผมมองว่าทุกคู่มีความน่ารักในแบบของตัวเอง อย่างของคู่เรา (ส่งสายตาให้บาร์โค้ดที่รับบทปอร์เช่) ก็จะนำเสนอความรักที่บริสุทธิ์ เป็นคู่ที่ถ้าได้ดูแล้วจะหวนย้อนไปในช่วงที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ช่วงมัธยม อารมณ์แบบชอบใครบางคนมากๆ มีความปลื้มคนบางคนอยู่ เป็นอะไรที่ดูกี่ครั้งก็สบายใจทุกครั้ง

ไบเบิ้ล : ส่วนคู่ผม เวกัสกับพีทแตกต่างกันมาก เป็นความรักที่มีเรื่องของอารมณ์ จิตใจ ความดิบ เป็นส่วนประกอบ เหมือนเป็นความต้องการทางอารมณ์มากกว่า (พูดจบแล้วยิ้มเขิน)

บิว : เพราะตัวละครเวกัสกับพีทค่อนข้างมีความแปลก ถึงแม้ว่าพีทจะดูสดใสร่าเริง แต่ก็เหมือนมนุษย์ทั่วไปที่มีสองด้าน พอมาเจอกับจิ๊กซอว์ที่แปลกใหม่กว่าอย่างเวกัส…

ไบเบิ้ล : ก็เหมือนคู่ของคินน์กับพอร์ชที่พอสองคนมาเจอกัน ก็เหมือนเติมเต็มชิ้นส่วนที่หายไป

อาโป : ทั้งสามคู่นี้จะอารมณ์แตกต่างกัน แต่พอมาอยู่ในเรื่องเดียวกันก็กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว อย่างคินน์-พอร์ชก็จะอบอุ่น คิม-ปอร์เช่ มีความสดใส ส่วนพีท-เวกัส ก็กึ่มๆ (6 หนุ่มถึงกับหันไปมองบิวและไบเบิลพร้อมกัน “กึ่มๆ เหรอ” แล้วหัวเราะแบบงงๆ) พอทั้งสามคู่มารวมกัน รวมถึงตัวละครอื่นๆ ในเรื่อง โปเชื่อว่าคนดูจะต้องมีความสุขตลอดทุก EP ที่ได้ดูแน่นอนครับ

 

ความโหด ความยาก ของการทำงานในซีรีส์เรื่องนี้อยู่ตรงไหน

อาโป : โปว่าการถ่ายทำเรื่องนี้โหดตรงที่เราไม่สามารถเลื่อนวันได้เลย เพราะแต่ละโลเคชั่น ถ้าหลุดช่วงนั้นไปคิวที่จองไว้จะไม่ได้แล้ว นั่นหมายความว่าพวกเราต้องตรวจ ATK กันทุกวัน ต้องถ่ายให้ครบ ต้องเล่นให้เต็มที่ที่สุด บางครั้งก็ต้องตื่นตี 4 กลับบ้านตี 1 วนอยู่แบบนี้ เพื่อที่จะถ่ายให้มันครบ ซึ่งโปว่าโหดมาก ทำให้นักแสดงใหม่ต้องปรับตัวเยอะมาก

เจฟ : ความมันอีกอย่างคือคิวบู๊ที่ค่อนข้างยากเพราะตารางการถ่ายแน่นมาก เราต้องจำให้เร็ว ทำทุกอย่างให้เร็ว บางซีนซ้อมแค่ประมาณ 4 ชั่วโมงก็ต้องเข้าฉากเลย ซึ่งการจะต้องจำทุกอย่างและสวมบทตัวละครตัวนั้นไปด้วย เป็นเรื่องทั้งมันและทั้งยากในคราวเดียวกัน ตื่นมาตอนเช้าคือเส้นตึงมาก (หัวเราะรอบวง) ต้องใช้ยาคล้ายกล้ามเนื้อกันเลยทีเดียว

บาร์โค้ด : แต่ในความยากก็แฝงไปด้วยความฮา เพราะเราต้องถ่ายทำกันเช้าจรดเย็น ตอนเช้ามาทุกคนจะเดินเข้ากองด้วยสภาพเหมือนซอมบี้ แต่พอตกบ่ายก็จะดีดกันมาก

อาโป : เพราะว่าได้กินกาแฟไปแล้ว ทุกคนก็จะ มาเลย! พร้อมถ่ายแล้วครับพี่!

บิว : โดยเฉพาะอาโป หลังจากที่ได้บดและชงกาแฟด้วยความพิถีพิถันตามสไตล์ของเขาแล้ว สักประมาณ 1 ชั่วโมง จะเดินมาแบบพลังล้นมาก มาดิ! พร้อมแล้ว! แล้วก็แกล้งคนอื่นไปทั่ว

ไบเบิ้ล : ความฮาอีกอย่างคือ ด้วยความที่เราต้องอิงตามโลเคชั่น ดังนั้นจึงไม่ได้ถ่ายเรียงซีน บางครั้งอาจจะต้องถ่ายซีนตลกก่อน แล้วตามด้วยดราม่าทันที เลยต้องปรับอารมณ์ไปเรื่อยๆ

มาย : ซึ่งท้าทายมาก เพราะพลาดไม่ได้ ตอนแรกก่อนจะถ่ายผมคิดว่าคงไม่ยากมากหรอก แค่ข้ามซีนไปมา แต่พอเอาเข้าจริงยากมาก (ลากเสียงยาว) เพราะเราต้องแบกทุกอย่างอยู่ในหัว ซีนดราม่าก็เครียดสุด พออีกซีนต้องสนุกสุดเหวี่ยง แล้วก็กลับมาดราม่าใหม่ ในหัวคือเหมือนเป็นโรลเลอร์โคสเตอร์เลยครับ

KinnPorsche The Series กว่าจะเป็นมาเฟีย

 

นอกจากบทบาทการแสดง หลายคนชมว่าโปรดักชั่นในเรื่องนี้ก็ดีงามมาก

อาโป : พี่ปอนด์เลือกโลเคชั่น เลือกพร็อพเองเกือบทั้งหมด รวมถึงการเกลาอารมณ์ตัวละครในทุกซีน แม้แต่เซ็กส์ซีน พี่ปอนด์ทำหมดเลย ซึ่งพอได้รับเสียงชม โปรู้สึกภูมิใจแทนพี่ปอนด์ ภูมิใจแทนทีมงานทุกคน เพราะเราเห็นทีมงานทำงานมาตลอด เราเห็นว่าเขาเหนื่อยขนาดไหนกับการเลือกโลเคชั่น กับการมานั่งคุยกับพวกเรา มาเวิร์กช็อป มาดูว่าอารมณ์ตัวละครสัมพันธ์กับสิ่งที่จะพูดออกมาจากปากไหม พอแฟนๆ ชม พวกเราทั้งนักแสดงเลยภูมิใจแทนทีมงานมากๆ ครับ

เจฟ : อย่างโปรดักชั่น ตอนที่อ่านบทเราก็เห็นภาพในหัวนะ แต่ไม่อลังการเท่าภาพที่เกิดขึ้นจริง ตัวเจฟเองไม่ได้อยู่ในทุกซีน บางฉากเราไม่เคยเห็นมาก่อน พอได้มาเห็นตอนออนแอร์รู้สึกว่าเหนือความคาดหมายมาก ซึ่งโปรดักชั่นที่สมจริงเหล่านี้แหละที่ช่วยให้เราเข้าถึงตัวละครได้มากขึ้น

บิว : ต้องขอบคุณทีมโปรดักชั่น ที่ตั้งใจทำผลงานออกมาได้ดี ไม่ว่าจะเป็นพี่ปอนด์ พี่โขม (ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับ) พี่เป๊ปซี่ (บัญชร วรเศรษฐ์อารี ผู้กำกับ) นักเขียน พี่จอย พีดีของเรา ทุกคนล้วนตั้งใจทำออกมาให้ดี จนสุดท้ายผลงานออกมาดีเกินคาดจริงๆ

บาร์โค้ด : ในเรื่องของอารมณ์ที่แสดงออกมาก็ต้องขอขอบคุณครูหนิงด้วยอีกคน ที่สอนให้เราเข้าใจลึกซึ้งถึงศาสตร์การแสดง

ไบเบิ้ล : อีกคนที่อยากขอบคุณคือพี่โอ๋ ที่สอนสตั๊นให้พวกเราสำหรับคิวบู๊ และครูหนิงที่ช่วยดูเรื่องการแสดงของพวกเรา ต้องบอกว่าการเล่นซีนดราม่าสำหรับนักแสดงมือใหม่เป็นอะไรที่ยากมากเลย ซึ่งทุกครั้งที่ผมมีปัญหาก่อนเข้าซีนจะเป็นครูหนิงกับพี่ปอนด์มาช่วยจูนให้ เขาจะพูดตรงๆ ทำให้เราสามารถเข้าถึงอารมณ์ในซีนนั้นได้ เรียกได้ว่าทุกครั้งที่เขามาคุยจะทำให้เราเล่นได้ดีขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ ส่วนตัวผมภูมิใจมากที่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของทีมโปรดักชั่นเรื่องนี้ เพราะนี่เป็นเรื่องแรกของผม ซึ่งผมรู้สึกได้ว่าทุกคนตั้งใจ ในฐานะนักแสดงใหม่อยากขอบคุณที่ช่วยให้ผมทำออกมาได้ดีที่สุดครับ

มาย : จริงๆ ต้องบอกว่าทุกคนเต็มที่หมด ผมอยากขอบคุณพี่ปอนด์มากๆ เพราะเมื่อก่อน ตอนที่เรายังไม่ได้อยู่ในวงการแสดง ไม่ได้อยู่ในวงการซีรีส์ เราไม่เคยเข้าใจว่าผู้จัดคือใคร ทำอะไรบ้าง แต่พอมาทำงานเรื่องนี้ พี่ปอนด์ทำให้รู้ว่าผู้จัดสำคัญมาก เป็นงานที่ต้องทำด้วยใจจริงๆ

อาโป : ตั้งแต่โปทำงานมายังไม่เคยเห็นผู้จัดแบบนี้ ที่ลงมากำกับเกือบทุกซีน ออกกองทุกวัน อีกนิดหนึ่งคือเล่นเองแล้วนะ เพราะเขาดูทั้งเรื่องบท โลเคชั่น การกำกับ ดูอารมณ์ พี่ปอนด์เป็นผู้จัดคนแรกที่โปเห็นว่าเขาทำทุกอย่างเองจริงๆ เป็นคนที่เจ๋งมาก ทุ่มเทมาก ซึ่งไม่ใช่แค่โป แต่ทุกคนในกองต่างบอกว่าต้องขอบคุณจริงๆ ที่พี่ปอนด์ทุ่มเทให้กับคนดูขนาดนี้

มาย : ผมมองว่าความโชคดีที่สุดของกองนี้คือ ทุกคนมีความคิดหรือมายด์เซ็ตเดียวกัน นั่นคือต้องการทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ในเวลาที่มีจำกัด เพื่อมอบความสุขให้กับคนดู

KinnPorsche The Series กว่าจะเป็นมาเฟีย

KinnPorsche The Series กว่าจะเป็นมาเฟีย และบอดี้การ์ด

 

เห็นว่าเพิ่งมารวมตัวกันครั้งแรกในซีรีส์เรื่องนี้ แต่ละคนมีวิธีละลายพฤติกรรมให้สนิทสนมกันยังไงบ้าง

อาโป : เรื่องนี้ได้รับการซัพพอร์ตจากทางออฟฟิศครับ เขาบังคับให้พวกเราไปเที่ยว (คนอื่น : บังคับเหรอ?) ไม่หรอก จริงๆ คือชวนพวกเราไปเที่ยวหัวหิน เหมือนพาไป Outing แล้วบังคับให้อยู่ในที่เดียวกัน พอถึงจุดหนึ่งที่โทรศัพท์มือถือไม่มีอะไรให้ดูแล้ว พวกเราก็ชวนกันคุย เป็นไง กินข้าวยัง ช่วงนี้ทำอะไรอยู่ ซึ่งพอเด็กผู้ชายมารวมตัวกัน หัวข้อที่คุยก็จะย้อนไปถึงช่วงวัยมัธยมปลายว่า ชีวิตเป็นยังไง ความสนุกตอนนั้นคืออะไร เรื่องราวสมัยนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกสนิทและเป็นหนึ่งเดียวกัน ว่าเราต่างก็ผ่านช่วงนั้นมาเหมือนกัน

เจฟ : อย่างเจฟกับพี่มายก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้คุยกัน แต่วันนั้นนั่งคุยกันประมาณ 3 ชั่วโมง คุยเรื่องกีต้าร์ยาวเลย ไม่เคยคิดว่าพี่มายจะมีมุมที่เหมือนกันกับเจฟได้ อย่างบาร์โค้ดเอง เป็นนักแสดงใหม่ เราก็ไม่เคยคุยกับเขามาก่อน

บาร์โค้ด : พอไป Outing ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน มีกิจกรรมการเล่นสวนน้ำ ก็ทำให้เราได้เห็นมุมต่างๆ ของคนอื่นว่าเขาก็มีมุมแบบนี้ด้วย ซึ่งเป็นมุมที่น่ารักมากๆ ของทุกคนเลย

เจฟ : คือภาพพจน์ตอนไปกับตอนกลับมา ไม่เหมือนกันเลยครับ

อาโป : ทริปนั้นพอตกเย็น ค่ำหน่อยเราก็มาจอยน์กันที่ห้องหนึ่ง เจฟเล่นกีตาร์กับพี่มาย บาร์โค้ดร้องเพลง ไบเบิลกับบิวก็ชวนกันคุยเฮฮา โปชวนเล่นอะไรซ่าๆ ชวนกันเต้น สิ่งเหล่านี้ละลายพฤติกรรมของพวกเราได้ดีมาก พอถึงเวลาทำงานจริง จึงไม่เคอะเขิน ไม่ติดกำแพงที่ต่างคนต่างมี ทำให้ง่ายต่อการถ่ายทำ ซึ่งถ้านับรวมการถ่ายทำ 4 เดือน พวกเราก็อยู่ด้วยกันมาเกือบปีแล้ว เลยเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกครั้งที่ได้ร่วมงานกันก็จะมีความสุข เหมือนได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงวันนี้ด้วยครับ

 

สนิทกันขนาดนี้เม้าท์เพื่อนพี่น้องให้ฟังหน่อยได้ไหม เลือกเม้าท์กันมาเลยแบบคนต่อคน

อาโป : ในสายตาผมบิวเป็นคนที่น่าแกล้งมาก เพราะคล้ายสลอท มาความช้าๆ พูดเป็นโมโนโทน ตรงข้ามกับโปที่แอคทีฟมาก พอมาเจอคนแบบนี้โปจะชอบทำให้เขางง ยิงคำถามเป็นชุดไปเลย เฮ้ย! บิววันนี้กินข้าวยัง ไปทำอะไรมาเนี่ย ทำอันนี้ยัง ทำอันนั้นยัง คือถาม 10 อย่างภายใน 30 วินาที แล้วบิวก็จะงงว่า ต้องตอบคำถามไหนดีนะ คือคิดอยู่ในหัว แต่แสดงออกมาทางสีหน้าแบบงงๆ โปก็จะซ้ำให้งงยิ่งไปอีก เฮ้ย! ตอบได้ยังเนี่ย ตอบได้ยัง แล้วก็เดินหนีเลย บิวก็จะเซ็ง เหมือนฉันมาทำอะไรที่นี่

บิว : ผมเป็นคนซึนๆ ไง เลยตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ต่างจากอาโปที่แอคทีฟและเอเนอร์จี้สูงมาก อย่างวันที่ไปสวนน้ำผมรู้สึกเลยว่าอาโปแอคทีฟเกิน ไม่ใช่เพราะฤทธิ์กาแฟอย่างแน่นอน ผมมั่นใจ 100% ว่ามาจากตัวตนของเขา เพราะเขาลากทุกคนไปเล่นสวนน้ำ ถึงจะบอกว่าไม่อยากเล่น แต่เขาก็จะดึงไปจนได้ แล้วมันก็ลากผมไปด้วย ซึ่งผมเป็นคนค่อนข้างยอมคน จนต้องบอกพร้อมน้ำตาเอ่อคลอว่า ‘โปพอแล้ว พอเหอะนะ’ ขอร้องละ เบาได้เบานะโป (หันไปมองอาโปแบบอ้อนวอน)

มาย : ผมขอเม้าท์บาร์โค้ดแล้วกัน ต้องบอกว่าบาร์โค้ดในสายตาทีมงาน รวมถึงพี่ๆ น้องๆ จะมองว่าเขาเป็นเด็กอินโนเซ้นท์ ใสๆ ที่สุดในกอง แต่เอาจริง ผมคิดว่าจะคิดแบบนั้นไม่ได้แล้วละ คือวันแรกอาจจะใช่ ยังใสอยู่ แต่นานไปเริ่มไม่ธรรมดา เหมือนน้องซึมซับจากพวกพี่ๆ ไปเยอะ คือเข้าใจว่าน้องเป็นเด็กฉลาดเลยซึมซับอะไรที่สุดขั้วและสุดขีดได้ดี ถ้าย้อนไปดูวันแรกที่ถ่ายทำจนถึงวันนี้ วิธีการในการเล่นมุก วิธีแซว วิธีจิกกัดคนอื่นของเขาเติบโตขึ้นมากครับ

บาร์โค้ด : แต่ก่อนผมเป็นคนเขินกล้องมาก แต่พอซึมซับจากทุกคนก็ทำให้ผมเก่งขึ้น ผ่อนคลายมากขึ้น แค่นั้นครับ ไม่ได้แสบอย่างที่พี่มายคิดสักหน่อย (ยิ้มพร้อมสบสายตามาย พี่ชายคนโต) ส่วนผมขอพูดถึงพี่เจฟดีกว่า ตั้งแต่วันแรกที่ไปออดิชั่น ผมเจอพี่เขาแล้วรู้สึกว่า คนอะไรเท่ได้ขนาดนี้ ยิ่งเขาเล่นกีตาร์และร้องเพลง ยิ่งเท่เข้าไปใหญ่ พอได้รู้จักก็รู้ว่าเขาน่ารักมาก ชอบตอนที่อยู่ในรถแล้วคุยกัน ถึงไม่มีอะไรคุย พี่เจฟก็จะหาเรื่องมาคุยจนได้ ชอบศิลปินคนนี้ไหม ชอบเพลงนี้ไหม ชีวิตช่วงนี้เป็นยังไง การเรียนเป็นยังไง ชอบที่เขาสรรหาคำถามมาถาม ทำให้ผมซึ่งเป็นคนไม่ค่อยถามใครได้มีโอกาสถามกลับและชวนคุยด้วย

เจฟ : งั้นผมขอพูดถึงไบเบิลนะครับ เวลาเจอหน้ากันไบเบิ้ลจะทักทายด้วยการเรียกชื่อแบบมีเอกลักษณ์มาก เจฟ ซาเตอร์… (กดเสียงต่ำ ลากเสียงยาว) แล้วด้วยความที่บ้านเราอยู่ทางเดียวกันเลยกลับด้วยกันบ่อย ทำให้ผมรู้ในสิ่งที่คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่า ไบเบิ้ลชอบร้องเพลงมากครับ

ไบเบิ้ล : งั้นผมก็ต้องพูดถึงพี่มาย ง่ายๆ คือพี่มายเป็นคนที่เล่นมุกแป้กครับ นี่เป็นสิ่งที่รู้กันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ไม่รู้ก็คือ บางทีถ้าเราคิดวิเคราะห์กับมุกของเขานิดหนึ่ง จะตลกมากครับ ไม่แป้กนะครับ

อาโป : แล้วบางทีคือไบเบิ้ลมาแบบวันนี้สอบมา วันนี้นอนน้อย หน้าตาคือไม่พร้อมที่จะคิดอะไรอยู่แล้ว พอโดนพี่มายเล่นมุกใส่ ก็งงไปเลยสิ

KinnPorsche The Series กว่าจะเป็นมาเฟีย

ผู้ชมชื่นชมการแสดงของทุกตัวละครในซีรีส์เรื่องนี้กันสนั่นมากทุกช่องทาง ในฐานะนักแสดง แต่ละคนพอใจกับผลงานของตัวเองมากน้อยแค่ไหน

ไบเบิ้ล : สำหรับผมถ้าถามตัวเองในตอนนี้ ต้องบอกว่าอาจจะยังไม่พอใจเท่าไรครับ แต่ต้องไม่ลืมว่า สิ่งที่เราทำในตอนนั้น เราทำดีที่สุดในช่วงเวลานั้นแล้ว ดังนั้นผมจะไม่เปรียบเทียบตัวเองในวันนี้กับตัวเราเมื่อวาน เพราะเชื่อว่าอย่างน้อยคนดูจะเห็นถึงความพยายามและก็ความใส่ใจของเราครับ

บาร์โค้ด : ผมชอบที่เล่นเป็นปอร์เช่ครับ เพราะรู้ตัวเองดีว่าผมตั้งใจมาก สิ่งสำคัญคือผมได้เห็นตัวเองเปลี่ยนแปลงไปตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ละวันผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง บางวันเรียนเรื่องของอารมณ์ เรียนรู้มุมกล้อง ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก ผมเลยชอบครับ ชอบที่ได้ทำ เพราะมันเป็นเรื่องยากสำหรับผม

บิว : ผมเต็มที่กับทุกซีนครับ แต่ก็มีบางครั้งที่ลืมตัวว่า ความกดดันที่เราแบกไว้กับซีนนั้นๆ ทำให้ประสิทธิภาพการแสดงออกของเราลดลง ก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ช่วยผลักดันและตั้งใจทำแต่ละซีนให้ออกมาดี ส่วนตัวผมรู้สึกรักตัวเองมากขึ้น เมื่อได้มาแสดงบทนี้ ในซีรีส์เรื่องนี้ ถึงแม้ว่าต้องเปลี่ยนตัวเองเยอะพอสมควร แต่ก็ยังเป็นต้นไม้ต้นเดิมที่ผลัดใบให้สวยขึ้นครับ

มาย : ผมว่าเป็นเรื่องยากที่จะพอใจกับสิ่งที่เราคิดว่ายังพัฒนาได้ เชื่อเถอะว่าเกือบทุกคนพอไปดูผลงานเก่าๆ ต้องมีแวบหนึ่งที่คิดว่า น่าจะแบบนั้นแบบนี้ ฉะนั้นถ้าถามว่าพอใจกับบทบาทการแสดงในเรื่องนี้ 100% ไหม ตอบว่าไม่ แต่อย่างที่ไบเบิ้ลบอก ผมทำสุดความสามารถแล้วจริงๆ ทำเท่าที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว ซึ่งก็คิดว่าดีมากพอที่จะทำให้คนดูรู้สึกและเข้าใจได้ครับ

เจฟ : ถามว่าพอใจไหม คิดว่าคงไม่อยากกลับไปแก้อะไร เพราะมันดีที่สุด ณ ช่วงเวลานั้นแล้ว อย่างตัวเจฟเอง ต้องบอกว่าเมื่อก่อนเป็น perfectionist มาก ทำให้คาดหวังและเครียด เวลาที่ทำอะไรแล้วไม่เป็นอย่างที่คิด เลยต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ เป็นทำการบ้านให้เยอะที่สุด และทำออกไปให้ดีที่สุด โดยที่ไม่คาดหวังอะไรเลย พอเราไม่คาดหวัง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็คือกำไรและเป็นเรื่องดีเสมอ เหมือนที่เหล่านักเขียนบอกว่า ถ้ายังกลับไปแก้งานเดิม และรู้สึกว่าต้องมีอะไรให้แก้เสมอ งานเขียนชิ้นนั้นก็จะไม่มีวันจบ ผมก็เลยคิดว่าสิ่งที่เราทำดีที่สุดแล้ว ณ เวลานั้น

อาโป : อย่างที่ทุกคนบอก โปรู้สึกแฮปปี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น วันนั้นโปทำเต็มที่แล้ว และโปก็พอใจกับทุกสิ่ง รู้สึกว่านี่คืองานที่ดีที่สุดในชีวิต ณ ตอนนี้ เป็นงานที่ภูมิใจที่สุด ณ ตอนนี้ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากทำมาทั้งชีวิต ณ วันนี้นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดครับ

KinnPorsche The Series กว่าจะเป็นมาเฟีย

นอกจากผลงานที่ทุกคนบอกว่าเป็นมาสเตอร์พีซ ซีรีส์เรื่องนี้ยังให้อะไรกับแต่ละคนอีกบ้าง

อาโป : ซีรีส์เรื่องนี้ทำให้โปได้เพื่อนใหม่เยอะมาก ได้ความจริงใจ ซึ่งเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มาก ต้องบอกว่านี่คือสิ่งที่โปฝันไว้ ฝันว่าจะได้ร่วมงานกับทีมที่ตั้งใจ ตั้งแต่นักแสดงจนไปถึงทีมงานทุกคน ซึ่งเรื่องนี้เป็นแบบนั้น ฉะนั้นนี่คือสิ่งที่โปได้รับมาเต็ม ๆ ทำให้โปมีความสุขมากครับ

ไบเบิ้ล : ผมได้รับประสบการณ์ ทั้งประสบการณ์การใช้ชีวิตและประสบการณ์การทำงาน เพราะตอนถ่ายทำเรื่องนี้ผมเรียนไปด้วยและถ่ายซีรีส์ไปด้วย สิ่งนี้สอนเรื่องการบริหารเวลา เรื่องความรับผิดชอบ และการทำงานเป็นทีมให้กับผม ที่สำคัญคือการทำงานครั้งนี้ทำให้ผมได้เปิดโลกส่วนตัว ลดกำแพงลง และเรียนรู้การเข้าถึงคนมากขึ้น

บาร์โค้ด : ผมว่าผมได้รับความโชคดีหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี ใจดี น่ารัก และมีความตั้งใจเหมือนผม  แต่ก่อนผมเป็นเด็กนักเรียนธรรมดาคนหนึ่งซึ่งมีความฝันเล็กๆ ว่าอยากเล่นละครสักเรื่อง อยากเล่นซีรีส์ ซีรีส์เรื่องจึงเหมือนเป็นการเติมเต็มความฝัน ดังนั้นสิ่งที่ผมได้จาก KinnPorche The Series จึงเป็นความโชคดีที่ซีรีส์เรื่องนี้มอบให้ผมครับ

บิว : บิวได้การใช้ชีวิต เพราะในแต่ละวันเราไม่ได้ปล่อยให้เวลาเลยผ่านไปเฉยๆ อย่างน้อยต้องได้ทำอะไรสักอย่าง เช่นพัฒนาร่างกาย ออกไปฟิตเนส ฯลฯ คือมีเป้าหมายในทุกวันเพื่อโปรเจกต์นี้ และต้องทำออกมาให้ดีที่สุด ผมว่าซีรีส์เรื่องนี้สอนเรื่องการใช้ชีวิตให้กับผมครับ

มาย : ส่วนผมเหมือนได้ครอบครัวที่มีทั้งพี่น้อง เพื่อนสนิท เพราะจริงๆ แล้วผมเป็นคนที่เอ็นจอยในการคุยกับตัวเองและหาคำตอบให้ตัวเองไปเรื่อยๆ พอมาเจอคนที่แตกต่างกัน ทำให้ได้สังคมอีกแบบหนึ่งที่ต่างไปจากเดิม เหมือนเป็นอีกโลกที่เราได้เจอ และนอกจากความเป็นครอบครัว ยังได้เรียนรู้ถึงการ give and take ระหว่างเรากับเพื่อน พี่น้อง ลุงป้าน้าอา ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่คอยสนับสนุนเราอยู่ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ทำให้เราเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้นครับ

เจฟ : การทำงานครั้งนี้ทำให้เจฟเป็นเจฟมากขึ้น เพราะทุกคนในกอง ทั้งนักแสดง โปรดิวเซอร์ เข้ามาทำให้รู้ว่าเรายังขาดอะไรและเติมเต็มตรงนั้น เหมือนเราได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ ตลอด เพื่อต่อเติมให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้ อย่างการที่ได้อยู่กับบทคิมนานๆ ก็สอนให้มีความมั่นใจในแบบที่เขามีแต่เราไม่มี ซึ่งหากกลับไปมองเจฟในตอนแรกก่อน KinnPorche The Series จะเห็นเลยว่าเปลี่ยนไปเยอะมาก อีกอย่างคือ ซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เข้าใจและเรียนรู้ที่จะเชื่อใจคนอื่นมากขึ้น ซึ่งจุดนี้เจฟมองว่า ทำให้เราเติบโตขึ้นเยอะเลยครับ

อาโป : และสำหรับผู้ชม โปเชื่อว่า KinnPorche The Series จะทำให้เห็นถึงความสุขในการใช้ชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เพราะทุกตัวละครในเรื่องนี้มีความเป็นธรรมชาติสูง แต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งคนที่ได้ดูอาจจะเห็นว่า ‘เฮ้ย! คนนี้นิสัยคล้ายเราเลย เขายังมีสิทธิ์ที่จะมีความความสุขได้ ยังสามารถอยู่ในสังคมได้ แล้วทำไมเราจะมีความสุขไม่ได้ล่ะ’ โปคิดว่าถ้าใครมองหาสิ่งที่เรียกว่าความสุขอยู่ ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้วจะมีแรงบันดาลใจในการเติมเต็มความสุขให้กับชีวิตอีกครั้งครับ

KinnPorsche The Series กว่าจะเป็นมาเฟีย

 

Tex: ASK / Photo: เนาวพจน์ โพธิเกษม

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted  กับการเปิดใจ 5 พระเอกดาวรุ่งของช่องวัน31

BNK48 รุ่น 3 ปาเอญ่า-อีฟ-โยเกิร์ต-ข้าวฟ่าง-พีค-แพนเค้ก ฝูงกระต่ายสุดคิวต์ที่อาสามอบความสุขให้ทุกคน