ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted  กับการเปิดใจ 5 พระเอกดาวรุ่งของช่องวัน31

account_circle
event

ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted  กับการเปิดใจ 5 พระเอกดาวรุ่งของช่องวัน31

หากพูดถึงโปรเจ็กต์พิเศษที่น่าสนใจช่วงนี้หนึ่งในนั้นต้องมี ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted ที่เป็นการรวมตัวของ 5 พระเอก 5 สไตล์ จากช่องวัน 31 ได้แก่ ฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ, ไบร์ท-นรภัทร วิไลพันธุ์, ตรี-ภรภัทร ศรีขจรเดชา, เน๋ง-ศรัณย์ นราประเสริฐกุล และตงตง-กฤษกร กนกธร ความงานดีของผู้เข้าร่วมมิชชั่นนั้นไม่ต้องพูดถึง อีกสิ่งซึ่งน่าสนใจไม่แพ้กันคือเขาเคลมว่า ทั้งห้าหนุ่มต้องมาเจอภารกิจสุดท้าทาย แบบไม่มีสคริปต์ ไม่รู้ตัวล่วงหน้า!

วันนี้มีโอกาสได้คุยกับพวกเขาครบทั้ง ฟิล์ม ไบร์ท ตรี เน๋ง และตงตง บอกเลยว่ามีหลายเรื่องที่เซอร์ไพรส์ โดยเฉพาะเส้นทางสู่การเป็นพระเอกช่องวัน31 ของแต่ละคน ฟังแล้วบอกเลยว่า ไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนคิด

ฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ 

บททดสอบชีวิตในช่วงวิกฤตโควิด-19

ต้องบอกว่าวิกฤตโควิด-19 เป็นบททดสอบของชีวิต ผมถึงกับดาวน์เหมือนกันนะ ด้วยความที่เราเป็นหัวหน้าครอบครัวด้วย เรารู้สึกว่ามีภาระหนี้สินที่ต้องแบกรับคนเดียว สภาพไม่คล่อง คิดว่าหลายคนคงเป็นเหมือนกัน ที่ต้องนำเงินสำรองฉุกเฉินออกมาใช้ ทีแรกผมคิดว่าน่าจะต้องควักออกมาใช้สัก 6 เดือน เราก็คำนวณเงินเก็บ น่าจะอยู่ได้เกือบ 2 ปี แต่ไปๆ มาๆ เหมือนมันจะไม่พอ โควิดยืดเวลาออกไปเรื่อยๆ ระลอกแรก สอง สาม สี่ เราไม่ได้ทำงาน ไม่มีรายได้ มีแต่รายจ่าย เงินแทบจะหมด มันทำให้เราแพนิกหนักเลย ไหนจะผ่อนบ้าน ผ่อนรถ แบกภาระจนเครียด นอนไม่หลับ ผมนอนตี 3 บางที เกือบเช้า ดาวน์หนักมาก

วิกฤตที่เราเจอทำให้เราเรียนรู้และได้ข้อคิดอะไรหลายอย่างมาก คือวันหนึ่งผมตกผลึกได้จากการอ่านคำคม ข้อคิดต่างๆ ผมรู้สึกว่า ทุกปัญหาถ้าเรามองเป็นอุปสรรค มันก็จะเป็นอุปสรรค จริงอยู่ว่าชีวิตช่วงนั้นยากลำบากเหลือเกิน แต่ถ้าเรามองปัญหาเป็นโอกาส มันจะทำให้เราพัฒนาและเติบโต ทำให้เราเรียนรู้ชีวิต และแข็งแกร่งขึ้น ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่ผ่านช่วงวิกฤตโควิดมาได้ ผ่านความยากลำบากอันหนักหนาสาหัสมาได้ ต่อให้เขาจะเจอเรื่องอื่นที่หนักกว่านี้ เขาก็จะผ่านมันไปได้ ทุกสิ่งรอบตัวอยู่ที่ความคิดเราเอง อย่างที่สองที่ผมได้คือ สอนให้เรารู้ว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน สอนให้รู้จักการวางแผนให้มาก สอนให้รู้จักการใช้ชีวิตอย่างพอดี พอเพียง ที่สำคัญการไม่มีหนี้คือลาภอันประเสริฐจริงๆ ครับ

ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted

เป้าหมายนักแสดงชัดเจนเสมอ

ต่อให้ผมเจอความยากลำบาก เจอวิกฤตอะไรเข้ามา แต่เป้าหมายของการเป็นนักแสดงของผมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ อาชีพนักแสดงคือความสุขในชีวิต เราทำงานด้วยแพชชั่น ผมอยากเป็นนักแสดงไปจนแก่เลยนะ เพียงแต่เป้าหมายในวันนั้นอาจจะต่างจากวันนี้ สักวันหนึ่งผมอาจจะทำอาชีพนักแสดงไม่ใช่เพราะเรื่องรายได้แล้ว แต่เราทำเพราะความสุข เราใช้หัวใจและความสุขของเรานำ คล้ายๆ กับบางคนที่มีความสุขในการช้อปปิ้ง ท่องเที่ยวก็ทำไป แต่ผมมีความสุขกับการเล่นละคร ผมไม่สนว่าจะได้เงินหรือเสียเงิน วันหนึ่งผมอยากทำให้อาชีพนักแสดงของผมอยู่ในจุดนั้นให้ได้

นั่นแปลว่าผมต้องหาอย่างอื่นทำเพื่อสร้างรายได้ ช่วงนี้ผมเลยศึกษาเรื่องการลงทุน หุ้น คริปโต ฟอเร็กซ์ ผมเรียนจบด้านไฟแนนซ์ ก็เลยทำตรงนี้อย่างเข้าใจ แต่ไม่ใช่ว่าคนที่ไม่เรียนไฟแนนซ์ทำไม่ได้นะ ทำได้ครับ ทุกคนทำทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ ทุกคนเก่งได้ แค่ใช้เวลาเรียนรู้ไม่เท่ากัน อีกอย่างที่สำคัญเลย จะเข้าสู่ตลาดการลงทุน ก็ต้องมีความรู้ในการลงทุน รู้จักบริหารความเสี่ยงในการลงทุน มันถึงจะโอเค

การลงทุนมีความเสี่ยง หากบริหารอารมณ์ตัวเองไม่ได้ 

ผมเคยชนะ 9 ครั้ง แพ้ 1 ครั้ง แต่ติดลบหมดก็เคยมาแล้วนะ เพราะผมบริหารความเสี่ยงไม่เท่ากัน คือเรามั่นใจว่าครั้งนี้เราจะชนะเหมือนครั้งก่อน ผมก็เบทจนหมดหน้าตัก เงินในพอร์ทหายสาบสูญเลย ต้นอาทิตย์เป็นเศรษฐีพอวันศุกร์เป็นยาจก วนลูปแบบนี้เป็นปี มีเท่าไรก็หมด หาเงินได้เป็นล้านก็หมด เพราะความโลภ

สาเหตุที่เราเสียไปไม่ใช่เพราะไม่รู้ หรือไม่ใช่เพราะไม่เก่ง แต่พอเราได้มากๆ ความโลภครอบงำครับ ได้มาก็เอาไปเล่น คิดว่าได้ตลอด ไม่เสียหรอก ผมไม่ได้เรียกสิ่งนี้ว่าการพนัน เพราะผมมีความรู้ แต่ผมบริหารตัวเองไม่ได้ต่างหาก

ผมจะพูดให้เห็นภาพเลยนะ นักลงทุน ถ้าบริหารอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มีเท่าไรก็หมดครับ การจะเป็นนักลงทุน ต้องมี 3 สิ่งนี้ หนึ่งความรู้เรื่องการลงทุนในทุกตลาดที่คุณจะก้าวเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดคริปโต ตลาดฟอเร็กซ์ คุณต้องเรียนรู้และฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ สอง การบริหารความเสี่ยงและเงินทุนที่ตัวเองมี ทำยังไงให้อยู่ในตลาดให้นานที่สุด มีโอกาสเรียนมากที่สุดในเงินจำกัด ข้อที่สาม ข้อนี้สำคัญมากก็คือ การบริหารอารมณ์ตัวเอง ต่อให้คุณเก่งแค่ไหน ถ้าบริหารอารมณ์ไม่ได้ก็ติดลบเพราะอารมณ์ตัวเองนี่แหละครับ

ราคาที่ต้องจ่ายในวงการบันเทิง 

ต้องบอกว่าในมุมมองของผมคนเดียวนะ การทำงานในวงการบันเทิงมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราได้เจอคนหลากหลาย ได้ไปตามสถานที่ต่างๆ พอเป็นที่รู้จักเลยได้รับความรักมากมาย นี่คือข้อดีของอาชีพนี้ ส่วนข้อเสียคือวงการบันเทิงมีความฉาบฉวย หลายคนใส่หน้ากากเข้าหากัน นี่แหละครับคือวงการบันเทิงของจริง

อีกอย่างคือเราอยู่ท่ามกลางสปอตไลท์ ทำอะไรผิดนิดหน่อยมันจะขยายใหญ่ขึ้นมหาศาล บางสิ่งที่คนในวงการบันเทิงทำ มันก็เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป แต่ถ้าเราพลาดมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที หลายคนไม่เข้าใจว่า ศิลปิน ดารา นักร้อง นักแสดง ล้วนเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่หลงผิดได้ ทำผิดเป็น แต่ทัศนคติคนดูบางส่วนรู้สึกว่า คนในวงการบันเทิงทำผิดพลาดไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นแบบอย่างของสังคม บางสิ่งไม่ได้เลวร้ายเลยนะ แต่ก็ไม่ได้รับการให้อภัย เราทำงานแลกกับการได้ชื่อเสียงเงินทอง แต่ชีวิตส่วนตัวเราไม่ได้มีเหมือนคนอื่น เราไม่สามารถมีปากมีเสียงแบบคนธรรมดาทั่วไปได้ นี่คือราคาที่เราต้องจ่าย บางทีเราเจอกระแสแย่ๆ จนนอนไม่หลับก็มี ผมรับฟังทุกความคิดเห็น ทุกการติชมนะครับ เพื่อนำไปพัฒนาต่อ อะไรไม่ดีด่าผมได้ แต่บางทีมันก็เป็นเรื่องอะไรก็ไม่รู้ บางคนตัดสินเราจากสิ่งที่เห็น ยังไม่รู้ความจริงเลย คือสังคมตัดสินเราไปแล้ว โดยไม่เหลือโอกาสให้เราได้พูดด้วยซ้ำ เวลารู้สึกเครียด ผมจะหาทางผ่อนคลายด้วยการกลับบ้านแล้วใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดา ถอดความเป็นพระเอก เปิดน้ำนอนแช่ในอ่าง เล่นเกม ดูซีรีส์ให้หายเครียด

ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted

อาชีพนักแสดงเติมเต็มความสุข

ทำงานในวงการบันเทิงมา 5-6 ปีแล้ว ผมมีความสุขมากที่ได้ทำงานวงการนี้ เพราะเป็นงานที่เราฝันตั้งแต่เด็ก พอได้เข้ามาทำ ผมเรียนรู้หลายอย่างมาก รู้ว่าไม่ใช่อาชีพสบายอย่างที่เราคิด ไม่ใช่ทุกอย่างจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ตอนเด็กๆ ผมคิดว่า นักร้อง นักแสดง เป็นงานสบาย ทำแล้วรวย แต่พอทำจริงๆ การเป็นนักแสดงนั้น กว่าจะถ่ายละครเสร็จแต่ละเรื่อง ไม่ง่ายเลย กว่าผลงานจะเสร็จสมบูรณ์ออกมาให้คนได้ดู นักแสดงต้องอดหลับอดนอน ใช้ร่างกายกันหนักมาก สภาพร่างกายแย่ ทำงาน 7 โมงเช้า เลิก 4 ทุ่ม เลิกตี 4 หรือบางทีเริ่มงานตี 4 ไปจบ ตี 4 ของอีกวันก็มีครับ

ผมเคยทำงานเป็นสจ๊วตมาก่อน ถ้าเทียบกันแล้ว นักแสดงงานหนักกว่ามาก แต่ผมตัดสินใจไม่ผิดนะที่ลาออกจากสจ๊วตมาเป็นนักแสดง  ตอนลาออกก็ไม่รู้นะว่าเราต้องรอนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าจะสำเร็จมั้ย ผู้ใหญ่ก็ตอบไม่ได้เพราะวงการนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ผมคิดแค่ว่าทำอะไรก็ได้ที่เราจะไม่เสียใจภายหลัง อาชีพสจ๊วตเราเองก็ทุ่มเท เอาเงินเก็บไปเรียนภาษา ตั้งใจสอบจนได้ ตอนทำงานก็เต็มที่ ผมเต็มที่กับทุกอย่างที่ทำ ดังนั้นผมเลยไม่เสียใจ

เหตุผลที่สุดท้ายเราเลือกจะเป็นนักแสดงคือ เรามีความสุขที่สุด เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ความฝันในวัยเด็ก แม้มันอาจจะไม่ได้สุขสุดๆ 100% แต่ผมเลือกแล้ว มีเหมือนกันนะที่เราเหนื่อยแทบขาดใจ จนไม่อยากทำแล้ว มันหนักมากจนร่างกายและจิตใจต่อต้าน เคยคิดว่าไม่เอาเงินก็ได้ ขอแค่ได้นอนวันนี้ ไม่ไหวจริงๆ แต่สิ่งที่ดึงผมกลับมาให้ฮึดสู้คือ ผมย้อนกลับไปมองตัวเองในวันที่ไม่มีโอกาส เราเหนื่อยมากแค่ไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้ และผมจะมองโลกให้กว้างขึ้นว่า ยังมีคนอีกเป็นหมื่นเป็นแสนที่อยากมายืนจุดนี้ แต่ยังมาไม่ถึงเลย มองย้อนกลับไปว่า เราเองไม่ใช่เหรอที่อยากมาจุดนี้ เราควรภาคภูมิใจ และมีความสุข กับสิ่งที่มี ณ ปัจจุบัน

อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่เติมเต็มความสุขและความฝัน ทำให้ผมมีบ้าน มีรถ ทำให้มีในสิ่งที่ตอนเด็กๆ เราไม่มี แม้จะไม่เลิศเลอเพอร์เฟ็กต์ แต่อะไรที่เราเคยวาดฝันไว้ เรามีแล้ว เติมเต็มชีวิตคุณแม่ ตอนอยู่สระบุรี ครอบครัวเรามีบ้านหลังเล็กๆ เราอยากมีบ้านหลังใหญ่ขึ้น ตอนนี้มีแล้ว ครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน แม่แฮปปี้มาก แม่มีที่นอนสบาย ได้กินอิ่มนอนหลับ ไม่ต้องกังวลว่าเงินจะพอใช้มั้ย ตอนนี้ผมดูแลครอบครัว เป็นอะไรที่ทำให้เราเติบโตขึ้น ทำให้ผมเข้าใจว่ากว่าแม่จะเลี้ยงเราได้โตขนาดนี้ แม่ลำบากมาก วันนี้ผมเป็นหัวหน้าครอบครัวเต็มตัว เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจ นอกจากนี้ผมยังสามารถเติมเต็มให้คนอื่นด้วย แบ่งปันทุนการศึกษาให้เด็กๆ ที่ด้อยโอกาส ให้อีกหลายคนที่เขาขาด เป็นการเติมเต็มคุณค่าในชีวิตให้ตัวเราเองครับ

ฝากผลงาน

ตอนนี้มีละคร 3 เรื่องจันทร์กลางใจ ที่จะออนพร้อมประเทศจีนด้วย เล่นคู่ใบเฟิร์น อัญชสา  เรื่องฟ้าเพียงดิน เล่นคู่ปราง กัญญ์ณรัณ และละครเรื่องคุณชาย เล่นกับตงตง ซึ่งน่าจะได้ชมกันภายในปีนี้ทั้งสามเรื่อง และอีกหนึ่งโปรเจ็กต์ที่อยากให้ติดตามกันคือ รายการ ภารกิจชีวิตนอกจอ รวมพระเอกที่เป็นเพื่อนกัน มาอยู่ด้วยกัน แล้วแต่ละคนก็ต้องไปเจอภารกิจแบบไม่มีสคริปต์ ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน ดังนั้นคนดูจะได้ความแปลกใหม่ และตัวตนของทั้ง 5 คนแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ต้องชมครับสนุกมากจริงๆ

 

ไบร์ท-นรภัทร วิไลพันธุ์

เด็กเรียนดีที่เกเร 

ไบร์ทเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อทำงานแล้วแม่อยู่บ้านครับ ก็เลยจะสนิทกับแม่คุยกันได้ทุกอย่าง ไปไหนบอกหมด เวลามีเรื่องอะไรเขาจะได้ตามตัวเราได้ถูก แต่พ่อจะหัวโบราณ เข้มงวด มีกรอบมาก ผมเองก็พยายามค่อยๆ ทลายกรอบออกเบาๆ พยายามบอกพ่อว่าเราโตแล้วนะ มันแบบนี้ๆ นะพ่อ (ยิ้ม)

ชีวิตวัยเรียนผมก็เป็นเด็กนักเรียนธรรมดาคนหนึ่งครับ ก็มีเรื่องชกต่อย สมัยเรียน ความที่เราเรียนโรงเรียนใหญ่ มีทั้งผู้ชายผู้หญิง ก็จะมีทะเลาะกันบ้าง เรื่องผู้หญิง เรื่องอำนาจในโรงเรียน มีการเขม่นกัน มีเรื่องกันกับเด็กนอกโรงเรียน มีเรื่องกับเด็กจ้อน (เด็กเกเรที่ไม่เรียนหนังสือ) เขามาหาเรื่องเรา ปาระเบิดเข้ามาในโรงเรียน เคยมีเรื่องกับเด็กจ้อน คือรุ่นน้องมีเรื่องแล้วมาขอให้เราช่วย ซึ่งเราเป็นรุ่นพี่ก็รับเรื่อง เราทำเขา เขาทำเรา เอาคืนกันไปมา มีขับมอเตอร์ไซค์มาหน้าบ้านเราก็มี เสี่ยงตายกับเด็กจ้อนก็เคย เคยเกือบโดนแทงในห้าง แต่ไม่โดนเพราะเพื่อนมาช่วยไว้ทัน

พูดให้เห็นภาพคือผมทำผิดจนที่โรงเรียนต้องให้ผมเซ็นใบลาออกรอไว้เลย เรียกว่าถ้าผิดอีกครั้งออกเลย แต่ด้วยความที่เราเรียนดีมาตลอด ทำกิจกรรมให้โรงเรียน ทางโรงเรียนก็พยายามหาทางออกอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ผมเองก็ไปสุดเหมือนกัน

ถึงจะมีเรื่องมีราวแต่ผมเรียนนะ ถึงแม้จะไม่ใช่เด็กหน้าห้อง แต่เราไม่เคยทำเกรดแย่ ไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน จะเรียกว่าผมทั้งเกเร ทั้งเรียนก็ได้ ม.ต้น ผมอยู่ห้อง GIFTED ม.ปลาย ผมอยู่ห้อง EP ได้เกรดเฉลี่ยประมาณ 3.9 พอจะขึ้นม.6 ผมเลือกที่จะสอบตรงเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผลสอบออกมาว่าผมสอบติด ดังนั้น ม.6 ทั้งปีผมไม่ต้องเรียนแล้วก็ได้ ผมเลยว่าง ชิลและเกเรได้เต็มที่

เคสก่อนหน้าที่เคยมีเรื่อง พ่อแม่อาจจะห่วงแต่ก็ไม่กังวลมาก จนมาเจอเคสโดนรุมกระทืบที่บางแสน ตอนนั้นผมอายุ 18 ปีเอง ไปงานรับปริญญารุ่นพี่ เราไม่ได้ตั้งใจจะไปหาเรื่องใคร เรื่องมันมาเอง แล้วพอเรื่องมาเราก็ยอมไม่ได้ ต้องสู้ แล้วผมคนเดียวโดน 10 คนรุม มองย้อนกลับไป เราโง่นะ ดีนะที่ไม่ตาย แทนที่จะขอโทษไป สุดท้ายก็นอนจมกองเลือด เละไปหมด เย็บที่หน้าเป็น 10 เข็ม

ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted

เส้นทางสู่วงการบันเทิง

ผมเริ่มเข้าสู่วงการตอนเรียนจบ ม.6 ตอนโดนรุมกระทืบที่บางแสน คนก็เห็นจากโซเชียลเยอะ กลายเป็นคนดังบางแสนไปเลย เป็นข่าวด้วย ที่ตลกคือคนบอกว่า หล่อมาก เลือดสาดยังหล่อ มีคลิปจากกล้องวงจรปิดออกมาด้วย คนก็แชร์กัน คนติดตามในไอจีก็เพิ่มมากขึ้น ต้องบอกว่า คลิปจากกล้องวงจรปิด เป็นหลักฐานให้รู้ว่า เขาต่อยเราก่อน แล้วเราถึงต่อยกลับ เราไม่ได้เริ่ม แต่ไบร์ทมีความผิดตรงที่อายุไม่ถึงแล้วเข้าร้านเหล้า

หลังจากเข้ามหาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีเพจต่างๆ อย่าง School Boy , TU Sexy Boy เพจต่างๆ เอารูปเราไปแชร์ ทางช่องเห็นก็เลยชวนเราเข้ามาออดิชั่น จากนั้นก็ผ่านเข้ามาเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงฝึกหัดของช่องวัน31 อยู่หนึ่งปี ต้องบอกว่าไบร์ทเป็นคนไม่มีความฝันอะไรเลย ก่อนหน้านี้เราไม่เคยมีความเครียด เพราะเราเป็นคนช่างแม่งกับทุกอย่างในชีวิต อยากเป็นอะไรก็ไม่รู้ เห็นเปิดสอบตรงก็ไป แต่พ่อไบร์ทจะชอบบอกว่า ถ้าจะสอบตรงให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องเข้าที่นี่ให้ได้ สุดท้ายเราพิสูจน์ให้เห็นว่าเราทำได้ ซึ่งพ่อจะพูดติดปากว่า ให้บรรลุนิติภาวะก่อนแล้วจะไม่ยุ่งเลย แล้วเขาก็ไม่ยุ่งจริงๆ ซึ่งที่ผ่านมาผมก็รู้นะว่าท่านเป็นห่วงเรามาตลอด

ถึงก่อนหน้านี้เราจะเป็นคนที่ไม่มีเป้าหมาย แต่ข้อดีของไบร์ทคือจะไม่ยอมพลาดโอกาสที่เข้ามาในชีวิต อะไรที่เข้ามา เราจะลองดู อย่างโอกาสในวงการบันเทิง เรามองว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย คือถ้าเราได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็ไปลองแบบงูๆ ปลาๆ เป็นคนที่อ่อนสุดในรุ่นเลยมั้ง คือเราไปแบบไม่รู้อะไรเลย ตอนเป็นเด็กฝึกหัดปีแรกๆก็เลยยังไม่ได้ทำอะไรมาก

ไบร์ทเรียนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ รังสิต ส่วนคลาสเรียนแอ็คติ้ง มีตารางเรียนทุกวันศุกร์ 6 โมงเย็น เลิกเรียนที่ธรรมศาสตร์ตอน 4 โมงเย็นต้องรีบมาเรียนแอ็คติ้งที่ตึกแกรมมี่ ซึ่งเย็นวันศุกร์รถติดมาก ความที่มาไกล มาทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่เรามาคลาสทุกครั้ง บางครั้งมาเขาเลิกเรียนกันหมดแล้วครับ แต่เราอยากให้เห็นความตั้งใจว่าเราไม่ได้ขี้เกียจนะ เราตั้งใจมาจริงๆ ทำแบบนี้มาเรื่อยๆ จนเริ่มท้อ คิดว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมยังไม่มีงาน ไม่มีเงินเลย กระทั่งมีละครดอกแก้วกาหลง ได้เป็นพระเอกคู่กับเพลงขวัญ ตอนนั้นยังไม่เข้าใจการแสดงอยู่นานมาก เล่นไม่ได้ แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เราเป็นที่รู้จักมากขึ้น คนตามไอจีจาก 7-8 หมื่น ขึ้นเป็นหลักแสน แต่ผมโดน complain เยอะมากว่า เล่นแข็ง แล้วโดนไปอีก 3-4 เรื่องเลยครับ กว่าจะดีขึ้น

ยอมรับว่าช่วงที่การแสดงยังไม่เข้าที่ไบร์ทท้อนะ เรามีช่วงที่ลังเลว่าจะยังไงต่อดี โพสิชั่นในช่องยังไม่ชัดเจน มันเป็น 3-4 ปีเรามาคิดว่ามันใช่หรือไม่ใช่  ทุกคนคาดหวังจากเราอยากให้เล่นดี อยากให้เก่ง แต่ฮาวทูเราไม่รู้ว่าจะไปถึงตรงนั้นอย่างไร เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ด้านการเรียนในมหาวิทยาลัยก็เรียนยากและหนักขึ้นเรื่อยๆ ขาดเรียนไม่ได้เลย ส่วนการแสดงถ้าผมทำมันได้ดีขึ้น มันก็จะไปได้อีกไกล ส่วนเรื่องเรียนถ้าผมทำได้ จบมาทำงานวิศวกร เงินเดือนสตาร์ทสูงมาก เรียกว่าอนาคตไกลทั้งสองอาชีพ แต่ผมไม่สามารถเลือกทำทั้งสองอย่างได้ เพราะมันต้องทุ่มเทอย่างหนักทั้งสองอย่าง ผมนั่งคิดเรื่องนี้อยู่เป็นเดือน จนตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทิ้งการเรียนคณะวิศกรรม แล้วย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

ในระหว่างที่ผมงมเข็มในมหาสมุทรเรื่องการแสดง เรารู้สึกจับทางไม่ถูก ไบร์ทเรียนการแสดงห้าครู สิบครู คนนี้สอนสไตล์นี้ คนนี้สอนอีกสไตล์  แต่เราก็ไม่เจอที่ใช่สักที ปรึกษานักแสดงรุ่นใหญ่ เขาก็บอกว่า การแสดงมันต้องมีประสบการณ์ด้วย ไม่ใช่เล่นดีอย่างเดียว แล้วควรต้องเข้าใจมนุษย์ให้มากๆ สังเกตคนให้มากๆ เราต้องทำการแสดงที่ไม่ให้ดูเป็นการแสดง ดังนั้นจึงต้องเข้าใจคนนั้นจริงๆ ถ้าเราต้องเล่นเป็นนักธุรกิจ เราต้องเข้าใจนักธุรกิจว่าเขาเป็นยังไง จนผมมาเจอครูบิว มีวิธีการสอนที่แปลก ไม่ใช่ครูคนอื่นไม่ดีนะครับ แต่ไบร์ทเรียนกับครูบิวแล้วเก็ต รู้สึกเหมือนไม่ได้เรียน เหมือนวิ่งเล่น จริงๆ แล้วการถ่ายละครก็เหมือนสนามเด็กเล่นให้เราได้โชว์ศักยภาพตัวเอง

จริงๆ ไบร์ทขี้อายนะ ไม่กล้าแสดงออก คิดเยอะ กลัวผิด เวลาเล่นกับรุ่นใหญ่จะกังวลมาก กลัวว่าเราจะเล่นไม่ได้ แล้วจะเสียเวลาคนอื่น เราแบกอะไรไม่รู้เต็มหมด ศักยภาพไม่เยอะแล้วยังกดตัวเองอีก สุดท้ายผมมาตกตะกอนว่า เราช่างแม่งเถอะ คิดแค่ว่าทำให้เต็มที่ ผมทำแบบนั้นมาเรื่อยๆ ในปีที่ 4 ที่ 5 แล้วเราเริ่มมองเห็นเส้นทางว่าทางไหนจะไปสู่ความฝันของเราได้

วงการบันเทิงสอนผมหลายอย่าง จากที่ไม่เคยมีเป้าหมายในชีวิต จนมาเจอตัวละครต่างๆ ที่เขาจะมีความต้องการในชีวิต มันทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตจากตัวละคร นอกจากเราจะเป็นคนดีขึ้น มายด์เซ็ตดีขึ้น จากไม่เคยสนใจดีเทลรอบนอก เรากลับมาใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้น รารู้สึกว่าเราเป็นคนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนคนรอบข้างทัก เราลังเลน้อยลงในการทำสิ่งดีๆ แต่ลังเลมากขึ้นในการทำสิ่งไม่ดี ตลอด 3 ปีที่เหนื่อยกับการหลงทาง พยายามค้นหาสิ่งที่ใช่ ผมว่ามันคุ้มค่ามากครับ นอกจากพัฒนาเส้นทางอาชีพของเราแล้ว ยังพัฒนาตัวตนเราด้วย

ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted

ความสุขกับอาชีพนักแสดง 

ทุกตัวละครที่ไบร์ทเล่น ไบร์ทสร้างขึ้นจากคนจริงๆ เสมอ ตั้งแต่ละครเรื่องเล่ห์ลวงเป็นต้นมา ไบร์ทพยายามตีโจทย์ให้เป็นคนจริงๆ ที่สุด ไบร์ทรู้จักคนเยอะ เราคอยสังเกตและถามความเป็นไปของเขา พ่อแม่ทำอะไร เลิกเรียนไปไหน สังคมและชีวิตเขาเป็นอย่างไร บทที่ไบร์ทรับเล่นในเรื่องใต้หล้า ซึ่งไกลตัวมาก เพราะเราเล่นเป็นลูกคนรวย  ไบร์ทเลยทักไลน์ไปถามพี่กำปั่น-กรวิชญ์ สารสิน ตั้งแต่เขาตื่นนอน ไปโรงเรียน เลิกเรียนไปไหน อยู่บ้านชีวิตเป็นยังไง คุยกับคนรับใช้หรือแม่บ้าน อย่างไร ศึกษาชีวิตประจำวันของเขา กินอยู่อย่างไร เอามุมของคนรวยมาผสมความเป็นตัวเอง มันก็จะเป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่ง

หรือแม้แต่ “โช” พระเอกแสนดีมาก ในเรื่องพิษรักรอยอดีต คนอาจจะคิดว่า คนดีๆ แบบนี้ไม่มีหรอก แต่มีจริงๆ นะ เขาเป็นเพื่อนไบร์ทเองตั้งแต่สมัยอนุบาล เพื่อนเราเป็นแบบนี้เลย เรายังเคยด่าเพื่อนเลยว่า มึงเกินไปป่าว รักตัวเองบ้างนะ รักเขาอะไรนักหนา ไบร์ททำการบ้านจากเพื่อน  คุยกับเพื่อนอยู่พักหนึ่งเลย

อย่างเวลาไบร์ทเล่นเป็นตัวร้าย เราจะไม่เล่นร้ายจัดเลย ไบร์ทจะพยายามทำให้เห็นว่า ตัวละครนี้ก็คือพวกคุณนั่นแหละ ความร้ายมันคือสันดานดิบที่ทุกคนมี เขาอาจจะร้ายเพราะมีบางอย่างไปสะกิด ดูแล้วได้แง่คิด พ่อแม่ดูแล้วก็อาจจะได้มุมมองว่า การที่คนๆ หนึ่งเติบโตขึ้นเป็นคนแบบไหน ขึ้นอยู่การเลี้ยงดูของพ่อแม่ด้วย อย่างนี้เป็นต้น

แฟนคลับ กลุ่มคนสำคัญในชีวิต

แฟนคลับเป็นกลุ่มคนสำคัญของไบร์ทเลย อย่างที่เคยบอกว่า เรื่องแรกโดนติเยอะมาก แต่สิ่งที่ทำให้เราใจฟู และมีกำลังใจสู้ต่อคือแฟนคลับ เขาคอยซัพพอร์ตลอดไม่ว่าเราจะทำอะไร ถ้าเราไม่มีคนให้กำลังใจ ใจเราอาจจะไม่แข็งพอจะสู้ต่อ เมื่อก่อนไบร์ทไม่เคยเข้าใจแฟนคลับเลยว่าทำไมต้องมาคอยตามไปนู่นมานี่ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว รู้สึกว่าเขาดีจัง สละเวลามาหาเรา มาให้เราเห็นหน้า ไปงานเราจะได้ไม่เหงา เราไม่รู้จะตอบแทนพวกเขายังไง ก็พยายามทำงานดีๆ ออกมา บางทีไบร์ทก็ทำตัวไม่ถูก แต่ว่าเจอกันไบร์ทจะพยายามพูดคุยกันให้มากขึ้นครับ

อัพเดตผลงาน 

กำลังจะมีละครเรื่องใต้หล้าครับ เรื่องนี้ร้ายครับ ต่างจากเรื่องพิษรักรอยอดีตเรื่องที่แล้วที่เป็นพระเอกดี๊ดี ในเรื่องใต้หล้า ความคิดอ่านคนละแบบเลย รับบท “หิรัญ” ลูกชายนักธุรกิจชื่อดังที่ใช้เงินและอํานาจ เหนือความถูกต้อง ภายนอกสุภาพ แต่ภายในเต็มไปด้วยความ โกรธ เกลียด น้อยใจ คิดมาก ร่ำรวยจนไม่ยินดีกับอะไรทั้งนั้น เหงา หวาดกลัว ไม่ภูมิใจในตัวเอง แข็งนอกอ่อนใน หวั่นไหวง่าย อยากเป็นที่รักที่ชื่นชมของใครสักคน โดยเฉพาะกับพ่อ พอไม่รู้สึกรักตัวเอง หรือ ไม่รู้สึกว่ามีใครรัก เลยแสดงออกด้วยความ เหยียด ไม่ให้ค่าอะไร.. เรื่องราวเข้มข้นมาก จะมีปมมีไคลแม็กซ์อย่างไร ต้องติดตามครับ สนุกมาก

อีกเรื่องน่าจะโปรดักชั่นกลางปี  เป็นบทที่ผมไม่เคยเล่นมาก่อนเลย อยากเล่นมาก เป็นแนวแฟนตาซี เหนือมนุษย์ แล้วเราชอบหหนังไซไฟ แฟนตาซีอยู่แล้ว อ่านพล็อตเรื่องแล้วชอบมาก อยากเล่นเลย คันปากนะอยากเล่า (หัวเราะ) แต่ยังบอกอะไรมากไม่ได้ครับ

แล้วที่ไม่อยากให้พลาดเลยก็คือ รายการ ภารกิจชีวิตนอกจอMission unscripted  ออนแอร์ทุกวันเสาร์ เวลา 21:45 น. ตอนนี้เราถ่ายเทปรวมที่ต้องไปทำภารกิจด้วยกันไปแล้ว หลังจากนี้ก็จะเป็นภารกิจแยกเดี่ยวที่ต้องไปเจอ ทุกอย่างเรียลมาก ไม่มีสคริปต์ ผู้ชมจะได้เห็นมุมที่ต่างออกไปของพวกเรา รีแอ็คทุกอย่างจริงหมด มีเบื่อ มีบ่น มีเหนื่อย ผมว่ามันเป็นงานที่ตื่นตาตื่นใจมากเลย อย่างภารกิจรวม นัดพวกเราที่ตึกแกรมมี่ มีกระเป๋ามาคนละใบ รู้ว่าจะไปกาญจนบุรี จากนั้นก็โดนยึดโทรศัพท์ กระเป๋าเงิน ทีมงานมอบภารกิจ ให้ไปหาลูกสาวแม่บ๊วยที่สุพรรณบุรีด้วย แล้วขับรถไปกันเองแบบไม่มีอะไรติดตัวเลย เปิด google map ก็ไม่ได้ ทั้ง 5 คนจะต้องเจออะไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น แค่พูดก็น่าสนุกแล้วใช่ไหมครับ (หัวเราะ) ฝากเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะครับ

 

ตรี-ภรภัทร ศรีขจรเดชา 

เด็กเกเรผู้ไม่เคยมีเป้าหมาย

สารภาพว่าผมเป็นคนที่ไม่เคยมีเป้าหมายอะไรเลยครับ คงเพราะเราเรียนไม่ค่อยเก่งด้วย อืม… เรียกว่าเรียนกลางๆ พอเอาตัวรอดได้ โดยส่วนตัวผมเองไม่มีแพชชั่นในชีวิตเลย ไม่มีความฝันว่าอยากเป็นอะไร อยากเป็นหมอ เป็นตำรวจ เป็นวิศวกร ไม่มีเลยจริงๆ ครับ คิดว่าแค่ว่ามีอะไรทำก็ทำไป

ผมโตมากับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว พ่อแม่แยกทางกัน ได้เจอพ่อบ้าง ซึ่งผมเองก็ไม่เคยรู้สึกขาดอะไร ไม่ใช่เด็กมีปม เพราะแม่เลี้ยงผมอย่างดี ด้วยความรักความเอาใจใส่ ส่งให้ผมเรียนนั่นเรียนนี่ เรียนพิเศษเยอะแยะไปหมด แม้จะไม่ชอบเท่าไรแต่ก็ต้องเรียน เรื่องสปอยล์มีบ้างครับ  แต่ก็จะมีพี่ชายคอยเบรก เพราะเขาโตกว่าผม พี่ชายจะเป็นทั้งพี่ทั้งพ่อของผมเลยครับ

สมัยเด็กๆ ผมเกเรก็ประมาณหนึ่ง ใช้คำว่าแสบได้เลยครับ (หัวเราะ) คือผมกับไบร์ทโตมาคล้ายกันเลย สมัยเรียนมีทะเลาะ ต่อยตี ผมเรียนกรุงเทพคริสเตียน จะตีกับโรงเรียนอื่นๆ  อัสสัมชัญ สวนกุหลาบ เทพศิรินทร์ ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมจะต้องมีเรื่องกัน เหมือนเป็นวัฒนธรรมด้วยมั้ง บางทีก็เกิดจากการแข่งกีฬา เกิดการไม่พอใจกัน ผมว่ามันเป็นเพราะเราอยู่คนละโรงเรียนด้วย แล้วก็เป็นเด็กผู้ชายก็จะมีการเขม่นๆ กัน

เวลามีการรุมต่อย ผมจะวิ่งเร็วเลย หลบหลีกได้ก็หลบแหละ แต่เวลาทะเลาะกันผมจะไม่รุมใครนะ เราไม่ทำ เราสงสาร ผมจะคอยห้ามว่าพอแล้วๆ ผมจะเป็นประเภทที่ไม่หาเรื่องใครก่อน ไม่เป็นตัวเปิดตัวนำ สมมติว่าพวกผมเดินกันอยู่ 5 คน มี 30 คนผ่านมา เล็งมาที่เรา ผมก็หนีนะ วิ่งกันสุดชีวิตเหมือนกัน สมัยเด็กๆ ผมไม่เคยเล่าให้แม่ฟังเลยว่าผ่านการทะเลาะต่อยตีอะไรมาบ้าง เพราะเราก็ไม่อยากให้เขาเครียด โตมาถึงเล่าให้ฟัง แม่คือตกใจ! (หัวเราะ)

ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted

เปิดโลกใบใหม่ ไปเรียนต่างประเทศ

มันมีช่วงที่ผมเบื่อสังคม เบื่อสภาพแวดล้อมเดิมๆ ไม่อยากทำอะไรแบบเดิมอีก เพื่อนโทรมาเราก็บอกว่าไม่ต้องโทรมานะเพื่อน ห่างกันสักพัก (หัวเราะ) ด้วยความที่ผมมีเพื่อนเยอะด้วย หลายโรงเรียน มีทั้งเพื่อนที่ใฝ่ดีและชวนกันไปเละเทะ เรารู้สึกว่าเราติดอยู่กับตรงนี้นานมากเกินไปแล้ว เราไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว เลยขอคุณแม่ไปเรียนภาษา ตอนจบ ม.6 อายุ 18 ปี ไปอังกฤษ อยู่ได้ประมาณ 8 เดือนครับ เราเห็นโลกกว้างขึ้น เห็นวัฒนธรรม การใช้ชีวิตอีกแบบ สภาพบ้านเมืองใหม่ๆ การไปเรียนที่นั่นสอนให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น รักชีวิตตัวเองมากขึ้น

ตอนไปผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยนะครับ ความเข้าใจเป็นศูนย์ ทุกวันนี้ดีขึ้นมาก เข้าใจ คุยได้ แต่ความคล่องอาจจะไม่เท่ากับตอนเราอยู่ที่อังกฤษ เพราะเราไม่ค่อยได้ใช้ไง แล้วมันก็จะลืม อยู่ที่โน่นผมตั้งใจเรียนอย่างเดียว เพราะค่ากินค่าอยู่แพงมาก แม่ส่งมาเรียนแล้วเราอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่าครับ เรียนเสร็จ ผมก็จะเดินเที่ยวดูบ้านเมือง ทุกวันอังคารจะมีนัดกับเพื่อนๆ ต่างชาติที่มารวมตัว แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน เป็นการฝึกภาษาด้วยครับ มองย้อนกลับไปมีความสุขและสนุกมาก แต่ตอนนั้นอยากกลับเพราะเราเหงาด้วยแหละ ด้วยสภาพอากาศของอังกฤษ ตรงนี้แดดออก นั่งบัสไปอีกป้ายฝนตก ถัดไปหิมะตกยังมี

“ร้านทำผม” จุดเริ่มต้นสู่วงการบันเทิง

พอกลับมาผมก็เข้ามหาวิทยาลัย เริ่มเรียนม.เอแบค แต่พอเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ก็เริ่มไม่มีเวลา แต่ขาดเรียนไม่ได้เลย ก็เลยต้องย้ายมา ม.รังสิต ภาคอินเตอร์ ซึ่งก็ขาดเรียนบ่อยไม่ได้อยู่ดี (หัวเราะ) ก็ต้องพยายามไปเรียนตลอดครับ

ผมเข้าวงการตอนเรียนปี 2 ครับ พี่ต่อนผู้จัดการส่วนตัว เห็นรูปจากคุณพ่อ คือตอนนั้นคุณพ่อผมตัดผมอยู่ในร้าน แล้วเขาก็เอารูปผมอวดให้ช่างดู แล้วพี่ต่อนก็เห็น เขาสนใจเลยทาบทามเรียกให้มาคุยที่ช่อง เราก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้างนะ ก็เซ็นสัญญาเข้าเป็นนักแสดงในสังกัด ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนที่ไม่ชอบแสดงออกเลย ถ่ายรูปไม่เอาเลย พรีเซนต์งานหน้าห้องยังตื่นเต้น พอเข้าวงการจริงจัง ผมเริ่มเปิดใจเรียนรู้งานในวงการนี้ นึกย้อนกลับไปตอนเด็กเราน่าจะเรียนด้านความสามารถพิเศษเยอะๆ เนอะ ดนตรี การแสดง คือมาฝึกตอนอายุเยอะ เลยรู้สึกยากครับ

การเข้ามาทำตรงนี้ทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเองมาก ตั้งแต่เด็กจนโต ผมไม่เคยได้รับคำชมเลย ไม่มีอะไรโดดเด่นให้น่าภาคภูมิใจ พอเรามีผลงาน มีหน้าที่ มีอาชีพ แม่ภูมิใจกับผมมาก ผมตัดสินใจทำงานในวงการบันเทิงเพราะแม่เลยครับ แม่ชอบดูละคร คิดว่าเราไปอยู่ในทีวี แม่น่าจะมีความสุข เป้าหมายตอนนั้นไม่ได้วางไว้สูงมาก เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราจะประสบความสำเร็จไประดับไหน มันไม่มีสูตรตายตัว มันคือดวงบวกความสามารถ และขึ้นอยู่กับเวลาด้วย

5 ปีในวงการบันเทิงของตรี-ภรภัทร

ผมเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงได้ 5 ปี เล่นละครไป 5 เรื่อง เป็น 5 ปีที่ทำให้เราโตขึ้นมากในหลายๆ ด้านครับ ความคิดความอ่านโตขึ้น การใช้ชีวิตต่างๆ ก็โตขึ้นด้วย มีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะการที่เราได้เห็นอะไรๆ มากขึ้น ทำงานกับคนที่หลากหลาย ทำให้เข้าใจโลกมากขึ้นเลยครับ

ผมได้เจอคนในวงการบันเทิงหลากรูปแบบ ก็เจอเรื่องที่ไม่ดีมาบ้าง อย่างคำพูดดูถูก สบประมาท เหล่านี้ผมโดนมาเยอะมากครับ เจ็บสุดคือเวลามีละครจะเปิดตัวโปรโมท แล้วบอกว่าพระเอกที่คุณคิดถึงจะกลับมา ก็มีคนบอกว่า “ใครคิดถึงมึง” เขาไม่พูดหยอกนะครับ ผมรู้ว่าเขาหมายถึงแบบนั้นจริงๆ เวลารับรู้เรื่องราวอะไรแบบนี้ มันบั่นทอนเหมือนกันนะครับ ทำไมเหรอ เราไม่เก่งพอหรือดีไม่พอเหรอ เราไม่หล่อเหรอ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ผมโชคดีที่ได้รับกำลังใจจากแฟนๆ คนรอชมผลงานเราก็มี เขาจะบอกว่าอยากชมแล้ว จะคอยดูละครนะ กำลังใจดีๆ เหล่านี้เป็นแรงขับเคลื่อนให้เราอยากทำงานต่อไป อยากพัฒนาตัวเองให้ดีมากขึ้น เพื่อทำให้แฟนๆ ภูมิใจในตัวผม

ทุกวันนี้ผมเริ่มมีเป้าหมายแล้ว อยากทำให้ออกมาดีทุกงาน พัฒนาตัวเองในทุกเรื่อง อย่างเรื่องเวลากามเทพ ผมตั้งใจทำมาก เวิร์คช็อปกันเป็นปีๆ อยากให้คนดูเห็นมุมชีวิตจริงของตัวละคร อยากให้เห็นว่าตัวละครมีเหตุผลมีที่มาที่ไป อยากให้คนดูดูละครที่เราเล่นแล้วมีความสุข สนุกไปกับละครครับ

ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted

ฝากผลงาน

ละครเวลากามเทพ ผมรับบทเป็น “ธาม” ครับ เป็นเรื่องราวเกี่ยวความสำคัญของเวลา การเจอคนที่ใช่ในเวลาที่ไม่ใช่ เรื่องนี้คาแร็คเตอร์ผมจะกวนๆ หน่อย ฟอร์มเยอะ ปากไม่ตรงกับใจ บทค่อนข้างยากเพราะมีหลายมิติ ซีนอารมณ์เยอะ ร้องไห้เยอะเหมือนกันครับ

ที่ห้ามพลาดและอยากให้ทุกคนดูคือ รายการ ภารกิจชีวิตนอกจอ  ผมว่าเป็นงานยากเหมือนกันนะ พวกเราไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอะไรบ้าง ป่วนไปหมด เรียลมาก แต่ในความสนุก เฮฮานั้น สอนเรื่องความสามัคคี ช่วยเหลือกัน ในการทำงานในสังคมเราไม่สามารถทำคนเดียวได้ มันต้องมีทีมเวิร์ค มีการแบ่งหน้าที่ ผมตื่นเต้นมากนะ ไม่รู้ว่ามิชชั่นเดี่ยวจะต้องเจออะไร เป็นอีกหนึ่งงานที่ผมประทับใจมาก ได้มาเจอกับเพื่อนๆ 5 คน ทำให้ได้รู้ว่าเรารักกันจริงๆ เราสนุกด้วยกัน ลำบากด้วยกัน สบายด้วยกัน แม้จะคนละสไตล์ ต่างแอตติจูด แต่เราอยู่ด้วยกันได้อย่างดี ไม่มีใครเกี่ยงกัน  ผมว่าแปลกใหม่มากครับที่รวมนักแสดงมาทำอะไรด้วยกันแบบนี้

 

เน๋ง-ศรัณย์ นราประเสริฐกุล

จากนักศึกษาแพทย์สู่เส้นทางนักแสดง

ผมเข้าวงการมาได้ประมาณ 4 ปีแล้วครับ ตอนนั้นเรียนสัตวแพทย์ ปี 6 ค่อนข้างเรียนหนักมาก ตอนเซ็นสัญญาเข้าช่องยังเรียนไม่จบ เลยขอช่องว่าอยากเรียนให้จบก่อน แล้วค่อยมาลุยเต็มตัว แต่ระหว่างที่ extern เราก็แบ่งเวลาไปเรียนแอ็คติ้งด้วย พอเรียนจบมหาวิทยาลัย ก็ได้ไปเล่นละครเรื่องนางสาวไม่จำกัดนามสกุล บทยังไม่เยอะมาก ผู้บริหารอยากให้ลองดูก่อน ว่าเราพอทำได้มั้ย ผลคือก็ทำได้นะ (ยิ้ม)

4 ปีในวงการบันเทิง สอนให้ผมมองภาพรวมมากขึ้น รู้สึกว่าโตขึ้นครับ เมื่อก่อนเรามาทำงานจะคิดถึงแต่ตัวเอง เล่นดีมั้ย คนจะมองเรายังไง คิดทุกอย่างหมุนรอบตัวเอง ไม่สนใจอย่างอื่น แต่พออยู่ไป เราพยายามเข้าใจคนอื่นมากขึ้น คือเน๋งชอบคุยกับทีมงานในกองถ่าย พี่ทีมไฟ ทีมกล้อง  ทีมสวัสดิการ อยากรู้ชีวิต คุยเรื่องการทำงานโปรดักชั่น  บางทีเขาก็เล่าชีวิตให้เราฟัง เราช่วยอะไรได้ก็ช่วย กลายเป็นว่าเราเข้าใจมนุษย์มากขึ้น เข้าใจความเป็นทีมเวิร์คมากขึ้น ทำงานกองถ่ายต้องแข่งกับเวลานะ แสงจะหมด ถ้าถ่ายไม่เสร็จ ต้องเปิดกองใหม่ เป็นการเพิ่มบัดเจทไปอีก ดังนั้นตัวเราต้องพร้อมทำงานให้มากๆ วงการนี้ให้สิ่งนี้กับเน๋ง

แต่มันก็มีสิ่งที่ต้องแลก มีจุดที่เราไม่ค่อยชอบเท่าไรก็คือ ไม่ค่อยได้นอน (หัวเราะ) คือคนชอบมองว่าดาราทำงานสบาย ได้เงินเยอะ ชีวิตสวยหรู ความจริงเราทำงานหนักมาก เริ่ม 6 โมงเช้า เลิก 4 ทุ่มบ้าง ตี 3 บ้าง เป็นการทำงานที่ใช้ร่างกายและจิตวิญญาณเยอะเพื่อไปเป็นอีกคน ใช้อารมณ์เยอะ บางทีกลับบ้านไม่อยากคุยกับใครเลย ค่าตอบแทนเยอะก็จริง แต่มันก็ต้องแลกนะ ผมว่าคนเราไม่ว่าจะทำอะไร ไม่มีทางได้อย่างเดียว มันมีสิ่งที่เราต้องแลกกันเสมอครับ

ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted

สัตวแพทย์ VS นักแสดง 

ตอนนี้นักแสดงเป็นอาชีพหลัก สัตวแพทย์ก็อาชีพหลักครับ (หัวเราะ) เราแบ่งความสำคัญเท่ากัน ทำงานสัตวแพทย์สี่วัน งานละครสาม หรือละครสี่วัน สัตวแพทย์สามวัน

พาร์ทหมอ เน๋งอาจจะไม่ลงตรวจมากเท่าเมื่อก่อน เราจะเน้นงานบริหารมากกว่า หาโปรดักซ์ใหม่ หาวิธีการรักษาใหม่ คุยกับหมอในทีม อะไรขาดก็หากำลังเสริม งานการตลาดเราไม่ถนัดก็หาทีมมาช่วย ตอนนี้ธุรกิจของเน๋ง Hato Pet Wellness Center มีที่สาขาสุขุมวิท39 สาขาเซ็นทรัล อีสต์วิลล์ และสาขาเซ็นทรัลเวสต์เกต ล่าสุดเปิดเพิ่มอีกสอง สาขา คือ Hato Home อยู่ที่ซอยปรีดี 11 สุขุมวิท 71 เน๋งไปได้บ้านเก่าในพื้นที่หนึ่งไร่ เลยตั้งใจทำตรงนี้เพื่อดูแลน้องหมาอย่างเดียวเลย มีสวนให้น้องหมาวิ่ง มีสระว่ายน้ำ มีโรงแรม มีคลินิครักษา ผ่าตัดได้ในเคสที่ไม่ใหญ่มาก อีกที่คือ Hato Cat Wellness Center พระรามเก้า เป็นศูนย์สุขภาพสำหรับน้องแมวโดยเฉพาะเลย เราแยกหมาแยกแมวเลย เพราะเน๋งเลี้ยงแมวด้วย เข้าใจว่าแมวขี้กลัว ฉะนั้นแมวมาที่นี่วิ่งเล่นได้เต็มที่เลย เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับน้องแมวจริงๆ

เอาจริงเน๋งไม่ได้เป็นประธานบริษัทหรอกครับ ไม่ได้เซ็นเอกสารอย่างเดียว เป็นเบ๊ล้วนๆ (หัวเราะ) เน๋งทำได้ทุกอย่างนะ บางทีเห็นขนหมาขนแมวกระจาย แล้วทุกคนยุ่งกันหมด อดไม่ได้ เราก็ดูดฝุ่นทำความสะอาดเอง

ความสุขของการสวมหมวกสองใบ 

เน๋งอยากเป็นนักแสดงเพราะแม่ครับ รู้สึกว่าแม่อยากเห็น แม่ดูมีความสุขเวลาดูละคร ได้คุยกับเพื่อน เราเองก็มีความสุขไปด้วย ย้อนไปตอนใกล้จะเรียนจบ เน๋งคิดเรื่องเรียนต่อ อยากเรียนด้านศัลยแพทย์ คุยกับแม่ว่าทางช่องวันติดต่อมา อยากให้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดง แม่บอกโอเค เซ็นเลย แต่เน๋งกลับลังเลว่ามันจะใช่เรามั้ย คิดว่าเราคงไม่เหมาะ เราเล่นละครไม่ได้หรอก คุยๆไปมีทะเลาะกันด้วยนะ (หัวเราะ) แม่บอกลองทำเถอะ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เรื่องเรียนต่อไว้ก่อนได้ กลายเป็นงั้นไป (หัวเราะ) เราก็เลยลองดูสักตั้ง อยากรู้ว่าจะทำได้แค่ไหน สุดท้ายเราก็ทำได้

 

ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted

เราเริ่มจากทดลอง โกลของเน๋งคือการอยากรู้มากกว่าว่าตัวเองจะไปได้ไกลแค่ไหน อยากรับรู้ เรียนรู้เรื่องราวระหว่างทางมากกว่า ไม่จำเป็นต้องดังมาก ไม่ต้องเป็นเบอร์หนึ่ง เพราะมันไม่ใช่เป้าหมายหลัก เราแค่อยากรู้ว่าตัวเองจะไปได้ไกลแค่ไหน คือเราไม่มีอะไรมาเลย เป็นเด็กวิทย์คนหนึ่งที่แสดงออกไม่เก่ง คุยไม่เก่ง ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเรายังไปต่อได้เรื่อยๆ นะ มีการเรียนรู้แบบไม่มีจุดสิ้นสุดรอเราอยู่ ส่วนงานสัตวแพทย์ เป็นความสุขส่วนตัวของเราจริงๆ เน๋งยังรู้สึกมีความสุขทุกครั้งในการรักษาน้องหมาน้องแมว จากอาการที่ไม่ค่อยจะดี รักษาน้องจนหายดี มันอิ่มใจนะ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก คือเราชอบเหตุการณ์แบบนี้ โรคนี้เป็นแล้วไม่หาย หาวิทยาการใหม่ๆ เข้ามา หาหมอฝังเข็ม ยาดีๆ ผลิตภัณฑ์ดีๆ การทำพาร์ทนี้สนุกดีเหมือนกันนะ เหมือนซีรีส์เรื่องสตาร์ตอัพ แต่เปลี่ยนมาเป็นธุรกิจหมาแมว สุขภาพนำบิสสิเนสเป็นรอง แต่ก็ต้องทำให้บริษัทอยู่ได้ด้วย

ฝากผลงาน

รักสุดท้ายยัยจอมเหวี่ยง ได้ดูแน่นอนกลางปีนี้ครับ เป็นละครแนวรอมคอม ตลก ดูง่ายๆ สบายๆ  แต่ก็มีคอนฟลิกต์ในเรื่องด้วย มีผิดหวัง มีน้ำตาบ้าง แต่ไม่หนักมากครับ เรื่องนี้เล่นกับพี่บี น้ำทิพย์ ผมประทับใจมาก ได้เรียนรู้อะไรดีๆ จากพี่บีเยอะมาก ความที่พี่บีเป็นนักแสดงมืออาชีพ เวลาเล่นจะส่งมาให้เราเต็มที่มาก ช่วยให้เราทำงานได้ไม่ยาก ขนาดกล้องไม่รับพี่บี เขายังเล่นเพื่อส่งอารมณ์ให้เรา ซึ่งนักแสดงเบอร์ใหญ่ไม่ต้องเล่นให้เราก็ได้ เตรียมตัวเข้าฉากต่อไปดีกว่า แต่พี่บีน่ารักจริงๆ เขารู้ว่าเรายังใหม่ ไม่ได้เก่ง เลยช่วยกันเต็มที่ เรื่องนี้ผมได้พัฒนาตัวเองไปอีกขั้นเลย

อีกงานที่อยากให้ดูคือ ภารกิจชีวิตนอกจอ แว้บแรกที่รู้ว่ามีโปรเจ็กต์นี้คือ วุ่นวายแน่ๆ ที่เอา 5 ตัวนี้มารวมกัน (หัวเราะ) เรารู้จักกันอยู่แล้วว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร น่าจะเป็นอะไรที่ตลก แล้วมันก็ตลกจริงๆ เพราะแต่ละคนไม่รู้อะไรเลย ก็รู้พร้อมกับคนดูทางบ้าน ได้มิชชั่นอะไรมาก็ทำตามนั้น อยากให้รอชมนะครับว่าพวกเราจะเจอชาเลนจ์อะไรกันบ้าง

 

ตงตง-กฤษกร กนกธร

วิถีเด็กเรียน

ต้องเล่าย้อนไปครับว่าบ้านผมอยู่มหาสารคาม เป็นครอบครัวคนจีน อาม่าอยากให้หลานๆ เรียนหมอ ถึงกับบอกลูกๆ ของอาม่าทุกคนว่า ถ้าหลานคนไหนได้เป็นหมอจะให้คนละล้าน แล้วทุกคนตั้งใจเรียนกันหนักมาก กดดันด้วยนะเพราะเราถูกปลูกฝังว่า โตขึ้นต้องเป็นหมอๆ

เท่าที่ผมจำได้ตอนแรกแม่ ผม และพี่ชายอยู่กรุงเทพฯ แต่เราย้ายมามหาสารคามเพื่อดูแลอาม่า ส่วนพ่อจะมาหาปีละ 1-2 ครั้ง ครั้งหนึ่งก็ 3-4 วัน คุณพ่อผมทำงานเป็นเภสัชกรอยู่กรุงเทพฯ  ผมอยู่กับแม่และพี่ชายมาโดยตลอด ท่านไม่ได้หย่ากันนะ แต่แยกกันอยู่ มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ผมเข้าใจและยอมรับได้ ผมรู้สึกว่าแม่เก่งมากที่เลี้ยงลูกมาคนเดียว พี่ชายผมเป็นหมอ ซึ่งแม่จะคอยขับมอเตอร์ไซค์ส่งไปเรียนพิศษ จากนั้นก็ค่อยเปลี่ยนมาขับรถยนต์  เชื่อมั้ยว่ามากรุงเทพฯ ครั้งแรก หลังจากประกวดเดอะสตาร์เสร็จ ผมตามหาพ่อโดยดูที่อยู่จากจดหมายที่พ่อเขียนถึงแม่ เราไม่มีเบอร์โทรพ่อ ไปตามหาตามที่อยู่แต่ไม่เจอครับ

ล่าสุดผมเจอพ่อที่งานรับปริญญาพี่ชายเมื่อ 2-3 ปีก่อน แล้วไม่รู้เป็นอะไรเจอพ่อผมร้องไห้ทุกครั้งเลย เราไม่ได้รู้สึกขาดนะ หรือลึกๆ แล้วอาจจะโหยหาความอบอุ่นจากพ่อโดยไม่รู้ตัว ทุกวันนี้พ่อเองก็แก่แล้ว เวลาเจอกันวิธีการสอนของพ่อดีนะครับ เรารู้ว่าพ่อรักเรา และที่ผ่านมาผมไม่โกรธพ่อเลย

กลับมาเรื่องเรียน (หัวเราะ) ม.ปลายผมเลือกสายวิทย์ ซึ่งผมเองก็เรียนหนักมาก ตั้งใจเรียนมาตลอด เรียนพิเศษเยอะมากมาตั้งแต่เด็กเลยครับ เลิกเรียนที่โรงเรียน ไม่เกิน 5 โมงต้องไปถึงที่เรียนพิเศษแล้ว เรียนชีวะ เคมี ฟิสิกส์ ภาษาอังกฤษ พอม. 4 เทอม 2 ผมติดเพื่อน ไปเที่ยว เริ่มเกเร ทำให้การเรียนตก ช่วงม. 5 พยายามจะดันเกรดขึ้นแต่ไม่ทันครับ สอบยังไงก็ตก เพราะชีวะ เคมี ฟิสิกส์ เริ่มเจาะลึกเรื่อยๆ พอไม่ตั้งใจเรียน เวลาสอบก็ทำไม่ได้ แม่ให้เงินไปเรียนกวดวิชา ผมก็เอาเงินไปเที่ยว จนแม่มารู้ทีหลังร้องไห้เลย อุตส่าห์ส่งไปเรียนแต่ทำไมเกเร จำได้ว่าตรุษจีน เชงเม้ง ซึ่งเป็นวันรวมญาติ ผมจะโดนด่าเรื่องเรียนนี่แหละ

ผมมาสำนึกได้ตอน ม.6 แต่มันก็เริ่มใหม่ไม่ทัน ทำยังไงดีเรียนหมอไม่ได้แล้ว คำว่าดารา วงการบันเทิงไม่มีอยู่ในหัวเลย แต่ตอนนั้นคิดได้ว่าถ้าอยู่มหาสารคามเหมือนเดิม เจอเพื่อนกลุ่มเดิม สิ่งแวดล้อมเดิม เราคงทำตัวเหมือนเดิม เลยขอแม่มากรุงเทพฯ เพื่อเรียนรู้ชีวิตใหม่ๆ ตั้งใจว่าจะทำยังไงก็ได้ให้แม่และทุกคนในตระกูลเห็นว่า ถึงจะไม่เป็นหมอ ผมก็จะสามารถดูแลแม่ได้ดีไม่ต่างจากคนที่เรียนหมอ ผมมาเรียนม.กรุงเทพ อยู่หอใกล้มหาวิทยาลัย ผมได้เพื่อนดี ตั้งใจเรียน เลยไม่เกเร

ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted

เส้นทางสู่ดวงดาว

พอเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผมได้เป็นเดือนมหาวิทยาลัย ก็เลยได้ทุนศิลปินด้วย ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปเยอะเลย ดีใจมาก ตอนได้ทุนผมคิดเยอะนะ รู้สึกว่าเราเหมาะมั้ย คุ้มค่ากับทุนมั้ย ผมบอกทางมหาวิทยาลัยเลยว่า อยากให้ผมช่วยงานอะไรบอกได้เต็มที่เลย

ผมมีโอกาสได้ประกวดเดอะสตาร์ ปี 12 เวทีนี้เปลี่ยนชีวิตผมให้ดีขึ้นมากเลยครับ มีงานทำ มีรายได้ โชคดีได้เล่นซิตคอม บางรักซอย9/1  แต่ผมยังโดนพี่บอยและผู้กำกับ ติว่ายังเล่นไม่เก่ง พูดไม่ชัด โดนด่าแรงๆ ก็มีครับ  “โห… ส่งเรียนแล้วยังพูดไม่ได้อีก เมื่อไรๆ รอมานานแล้ว การแสดงก็อยู่กับที่” ค่ายส่งเรียนพูดหลายครูเลย แต่ไม่ได้ผล ผมเลยตัดสินใจลุยด้วยตัวเอง ด้วยการเอาหนังสือพิมพ์มาอ่าน เอาบทมาฝึกอ่านทุกวัน ก่อนหน้านี้เราเคยโดนด่าว่าร้องเพลงเพี้ยน เราก็ไปลงคอร์สเรียน ฝึกร้องเพลงเองในห้องน้ำ ยิ่งโดนด่าผมก็จะยิ่งสู้ พยายามทำจุดที่เราด้อยให้มันดีขึ้น

จะบอกว่าทุกวันนี้ผมดีขึ้นมากเพราะคำด่าเลย กิ๊ก-พงษ์ศักดิ์ ผู้กำกับบางรักซอย9/1 ทั้งสอนทั้งว่า ทำให้ผมดีขึ้น ถ่ายไปด้วยกันสักพักพี่กิ๊กต้องไปกำกับอีกเรื่อง ผมบอกว่าอย่าไปเลย พี่กิ๊กบอกว่าตอนนี้ผมเก่งขึ้นแล้ว อยากให้ผมได้เจอคนใหม่ๆ บ้าง ซึ่งตอนนั้นผมได้ให้สัญญาว่า วันหนึ่งผมจะกลับมาเล่นกับพี่กิ๊กอีก ผมจะทำให้พี่เห็นพัฒนาการของผม แล้วเราก็ได้มาเจอกันใน สี่เทพผู้พิทักษ์ พอเจอกันพี่กิ๊กบอกว่าจากวันนั้นจนวันนี้ตงตงเก่งขึ้นมากนะ ผมร้องไห้เลย

พี่อ้อม (พิยดา จุฑารัตนกุล) พี่แท่ง (ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง) ที่ผมเล่นเป็นลูกใน บางรักซอย9/1 ก็สอนผมทุกอย่าง พี่แท่งเองก็บอกว่าผมพัฒนาขึ้นมาก จากวันนั้นเราเคยท้อมาก แต่เราสู้ เพราะเราอยากประสบความสำเร็จ อยากให้คนดูผลงานแล้วเขายิ้มและมีความสุขกับเรา

ภารกิจชีวิตนอกจอ Mission Unscripted

ความสุขที่ได้ทำเพื่อแม่

แม่ผมชอบดูละคร แต่ไม่คิดมาก่อนว่าวันหนึ่งลูกจะได้เล่นละคร เราเองอยู่ห่างกัน แม่ผมก็อาศัยได้เจอลูกจากการดูละครนี่แหละครับ (ยิ้ม) แม่บอกว่าผมเล่นดี แม่ร้องไห้ดีใจมากๆ ที่ผมมีวันนี้ได้ และผมมีความสุขมากที่ทำให้แม่มีความสุขและยิ้มได้ ญาติๆ ก็บอกว่าเราเก่งมาก บางครั้งเขาโทรมาหา เห็นเราจากทีวี จากหนังสือ ผมมีวันนี้ได้เพราะสู้ด้วยตัวเองจริงๆ ที่เราตัดสินใจว่า ถึงจะไม่เป็นหมอแต่จะดูแลแม่ให้ได้ วันนี้เราทำได้แล้ว

ทุกวันนี้ผมภูมิใจกับอาชีพของตัวเอง แม้จะยังไม่ได้ประสบความเร็จมาก แต่ผมเชื่อว่าเรายังไปต่อได้อีก อย่างตอนละครวันทอง บทพ่อไวย์ทำให้ผมโด่งดังขึ้น แล้วทุกคนในเรื่องนี้เก่งกันหมด เลยทำให้ละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ เป็นโชคดีของผมมากๆ คำชมที่ได้คือกำลังใจ แต่ผมจะไม่หยุดพัฒนาตัวเองครับ

ฝากผลงาน

ฝากละครกู้ภัยหัวใจสู้ ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.00 น. ครับ แล้วก็ละครคุณชายกำลังถ่ายทำ ผมเล่นเป็นลูกชายของพี่แตงโม-นิดา ซึ่งตอนนี้พี่เป้ยมารับหน้าที่แทนพี่โม เป็นอีกเรื่องที่หนักและท้าทายความสามารถมาก ผมรับบทเป็นหยาง ลูกเมียรอง พี่ฟิล์มจะเป็นลูกชายเมียเอกในเรื่องเขาเป็นต้วนซิ่ว (ชายรักชาย) ซึ่งแม้เราจะเป็นพี่น้องต่างแม่ แต่เรารักกันนะ พี่ชายอยู่ในกรอบ ส่วนผมแหกกฏ อยากใช้ชีวิตของตัวเอง เรื่องราวเข้มข้นมากครับ อยากให้รอชมเรื่องนี้ครับ ผมเข้าฉากกับพี่โมเยอะ เพราะเล่นเป็นแม่ลูก เราเห็นถึงความตั้งใจของพี่โมมาตลอด พี่โมเป็นคนน่ารักมาก อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ทุกวันนี้ไปกองยังคิดถึงพี่โม ผมสวดมนต์ในใจนึกถึงพี่โมแล้วบอกว่า ถึงแม้พี่จะไม่อยู่ ผมก็จะทำเต็มที่เพื่อพี่ จะทำละครเรื่องนี้ออกมาดีที่สุด

อีกเรื่องคือ ซีรีส์วัยรุ่น My Sassy Princess กับเรื่องราวของ 3 เจ้าหญิงยุคใหม่ ที่ทั้งแสบ ซ่า ก๋ากั่น เรื่องนี้มีผม พี่ลี-ฐานัฐพ์ และแบงค์-ธิติ ได้มาร่วมงานกัน ส่วนนางเอกก็จะเป็นน้องใหม่ครับ

ที่สำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือภารกิจชีวิตนอกจอ เชื่อว่าสี่คนที่เหลือต้องขายของไปหมดแล้ว งั้นผมขอยืนยันแล้วกันครับว่า ทุกคนจะได้เห็นพวกเราในแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนจากรายการแน่นอน รับชมทุกวันเสาร์ เวลา 21:45 ทาง ช่องวัน31 ครับ 

Text: AuAi
Photo: เติมสิทธิ์ ศิริพานิช 
สไตลิสต์: ธันวดี จุฑาวรากุล

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

เทอมสอง สยองขวัญ เจมมี่เจมส์-กิต Three Man Down ชวนเปิดตำนานหลอนในมหา’ลัยที่ “คนในอยากหลอก คนนอกอยากเล่า”