บิวกิ้น-พีพี จากเพื่อนซี้ สู่บัดดี้ทางการแสดงที่ต้องจับมือก้าวไปด้วยกัน
อีกหนึ่งผลงานของนาดาว บางกอก ที่บอกเลยว่าเราตั้งตารอ งานนี้นาดาว ร่วมกับ LINE TV จับกระแสซีรีส์คู่จิ้น ส่งนักแสดงดาวรุ่ง บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล มาคู่กับ พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร ในซีรีส์ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” (I told sunset about you) ซีรีส์แนว Romantic Coming of Age ที่น่าประทับใจ สุดสัปดาห์ไม่รอช้าคว้าตัวทั้งคู่มาถ่ายแฟชั่น Digital Cover ก่อนใคร พร้อมสัมภาษณ์ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังการถ่ายทำ คอนเฟิร์มว่าหล่อ ละมุน น่ารัก อบอุ่น ครบจัดเต็มทุกอารมณ์ไม่แพ้ในซีรีส์เลย
อยากให้ทั้งคู่ช่วยเล่าถึงบทและคาแร็คเตอร์ใน ‘ซีรีส์แปลรักฉันด้วยใจเธอ’ หน่อยค่ะ
บิวกิ้น: ผมรับบทเป็น ‘เต๋’ เป็นเด็กที่ค่อนข้างมีความฝันชัดเจน มองเห็นตัวเองชัดว่าโตไปแล้วอยากเป็นอะไร อยากจะไปทำอะไร เป็นเด็กวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยแพชชั่น ด้วยความที่เป็นคนชัดเจน เต๋เลยมีความมุ่งมั่นมากๆ ว่า สิ่งที่ตั้งเป้าไว้ต้องทำให้ได้ และเป็นคนชอบเอาชนะ ชอบการแข่งขัน เป็นเด็กที่ค่อนข้างเรียนเก่งด้วยครับ
มีความเหมือนบิวกิ้นเลยนะคะ
บิวกิ้น: ถ้าพี่ว่าเหมือนก็ได้นะ โอเคครับเหมือนก็เหมือน (หัวเราะ) คือ… มีความคล้ายตัวผมเองด้วยครับ ตรงที่เป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจทำอะไรแล้วอยากทำให้ออกมาให้สำเร็จ ทำออกมาให้ดี
พีพี: ในเรื่องพีเล่นเป็น ‘โอ้เอ๋ว’ เป็นคนที่เรียนไม่เก่งครับ ความฝันไม่ชัดเจน แต่ว่าเป็นคนที่ชอบเอาชนะเหมือนกัน
บิวกิ้น: ในเรื่องโอ้เอ๋ว จะเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ เหมือนกับว่าที่ผ่านมา สังคมบอกเขาว่าเขาเป็นเด็กที่ไม่เก่งมาตลอด มันเลยทำให้ตัวละครของเขาจะมีความไม่มั่นใจในตัวเอง ถามว่าเป็นปมของโอ้เอ๋วมั้ย ก็นิดนึง ไม่ใช่เขาจะไม่สู้นะ สู้เหมือนกัน สู้ในมุมของเขา แต่จะไม่มั่นใจตัวเอง
พีพี: ใช่ครับ สำหรับตัวโอ้เอ๋วจะมีความคล้ายพีตรงที่ งอแงๆ นิดนึง ตัวจริงเราก็เป็นแบบนี้บ้าง (ยิ้ม)
ทำไมซีรีส์ถึงชื่อว่า ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ’
บิวกิ้น: ด้วยความที่เรื่องนี้ เป็นซีรีส์ดราม่า และเป็นแนว Coming of Age ซึ่งตัวละครจะได้เรียนรู้ชีวิตหลายๆ ด้าน เช่น เรื่องใหญ่ที่สุด ก็คือเรื่องของความสัมพันธ์ เรื่องราวของเด็กผู้ชายสองคนที่ไม่รู้ใจตัวเอง ไม่มั่นใจ คือเขาจะมีความไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วการแปลคำถามที่เกิด ก็เพื่อที่เราจะก้าวข้ามไปอีกวัยหนึ่ง และด้วยใจเธอนี่แหละที่จะมาเป็นตัวช่วยแปลความรักของฉัน ทำให้ฉันเข้าใจและทำให้ฉันเติบโตขึ้น
ที่ว่าดราม่าหนัก ต้องเจออะไรบ้าง
บิวกิ้น: เป็นซีรีส์ 5 ตอน ที่มีตัวละครหลักจริงๆ 2 คน คือโอ้เอ๋วกับเต๋ มุมที่หยิบมาเล่าความดราม่านั้น ผมคิดว่าพวกเราน่าจะเคยก้าวข้ามผ่านจุดนั้นมาแล้ว ช่วงวัยนั้นก็จะมีเรื่องครอบครัว ความสัมพันธ์ เพื่อน หรือแม้แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัย จริงๆ มันมีหลายมุมที่ถูกหยิบมาเล่า พอเรามองย้อนกลับไปมันดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ ณ ตอนที่เราอยู่ในวัยนั้น เฮ้ย! จริงๆมันเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันนะ
พีพี: ในเรื่องจะไล่เป็นไทม์ไลน์ จะเล่าถึง ช่วงม.6 ถึงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย
บิวกิ้น: จะมีบางคนที่เคยผ่านมุมนี้มา ผมคิดว่าเขาก็น่าจะเข้าใจ แต่อาจจะมีคนไม่เคยเจอมุมนี้ก็จะเข้าใจฟีลมากขึ้น พ่อแม่เข้าใจลูกมากขึ้น ลูกเข้าใจพ่อแม่มากขึ้น
พีพี: ได้เรียนรู้อะไรจากตัวละครได้หลายแง่มากเลยครับ อย่างพาร์ทของเราสองคน มีทั้งเล่าเรื่องของครอบครัว เรื่องของเพื่อน ความสัมพันธ์ เรื่องเรียน
บิวกิ้น: เหมือนเป็นการตีแผ่เรื่องราวของช่วงเวลาของเด็กวัยนี้ ฝั่งนึงเป็นครอบครัวที่กดดันลูก อีกฝั่งปล่อยลูกสบายๆ มันจะมีดีเทลแต่ละมุมของตัวละคร ที่เราจะได้เรียนรู้และเข้าใจไปพร้อมๆ กัน
บิวกิ้น-พีพี ต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมความพร้อมอะไรเป็นพิเศษในการเล่นเรื่องนี้บ้างคะ
บิวกิ้น: คือผมไม่เคยถ่ายงานไหนแล้วรู้สึกหมดพลังขนาดนี้เลย มีครั้งหนึ่งถ่ายโลเคชั่นที่บ้าน ผมมีถ่าย 4 คิวติดกัน 4 คิวนี้มีผมทุกซีน ถ่ายตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงค่ำ ไม่มีแก๊บว่างให้เตรียมตัวในซีนถัดไปเลย ถ่ายเสร็จรุ่งเช้าต้องถ่ายอีก แล้วคืนนั้นเราก็ต้องเตรียมตัวสำหรับถ่ายของอีกวัน
พีพี: พีเจออยู่หนึ่งคิว เริ่มถ่ายทำตอนตี 4 ด้วยซีนร้องไห้ แล้วเราก็ร้องๆๆ วนไปจนถึง 11 โมง เสร็จซีนนี้ปุ๊บ มีซีนลงไปที่ทะเล ขึ้นมาก็ร้องๆ ต่อถึง 4 โมงเย็น สลับ ขำ หัวเราะ และร้องไห้ จนเกือบถึงเที่ยงคืนอะครับ เป็นการร้องไห้สลับหัวเราะ วนไปวนมาก ไบโพล่าร์มากครับ (หัวเราะ) ถ้าต้องร้องไห้เยอะ ใช้พลังเยอะ พีจะกินน้ำเกินวันละ 7 ลิตร กินน้ำเยอะๆ เป็นวิธีช่วยทำให้ไม่เหนื่อย สดชื่นด้วย ถ้าอ่อนล้ามากๆ ก็เติมหวานนิดนึงด้วยช็อคโกแลตบาร์
บิวกิ้น: เหมือนกันครับ ดื่มน้ำเยอะๆ แล้วก็กินข้าวให้อิ่ม
พีพี: อีกเรื่องคือพีต้องลดน้ำหนักลงมาประมาณ 10 กิโลกรม จาก 65 กิโลกรัม เหลือ 55 กิโลกรัม พี่บอส ผู้กำกับอยากให้ทำน้ำหนักให้เท่ากับเมื่อตอนที่เราอยู่ ม.6 เลยต้องลดครับ พีใช้วิธีคุมอาหารครับ พยายามแบ่งสัดส่วนการกิน คือในวันหนึ่งจะกินให้ไม่เกิน 1,500 แคลอรี่ เน้นปลากับผัก จะกินผักแทนข้าว ลดของหวานทุกอย่าง ของหวานพีก็ไม่กิน โชคดีที่เราไม่ติดหวาน เป็นคนกินจืดอยู่แล้วครับ เลยไม่ค่อยรู้สึกว่ามันยากที่จะลดน้ำหนัก ชา-กาแฟ ปกติก็ไม่ใส่น้ำตาลอยู่แล้ว เลยไม่ได้รู้สึกทรมานอะไร เป็นคนชอบกินอาหารประมาณนี้อยู่แล้ว ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนครึ่งครับ หลังจากปิดกล้องน้ำหนักก็ขึ้นมา 4 กิโลครับ ตอนนี้อยู่ประมาร 58-59 กิโลกรัม
บิวกิ้น: ของผมก็ลดเหมือนกันครับ ลดไปได้ประมาณ 6-7 กิโลกรัม แต่ผมจะออกกำลังกายไปด้วย ช่วงแรกน้ำหนักผมไม่ลดเลยครบ กินคลีนแต่ว่ากินเยอะ
(คลีนที่แปลว่ากินหมดหรือเปล่า?)
บิวกิ้น: (หัวเราะ) นอกจากนี้ก็จะมีเวิร์คช็อปทางการแสดง และต้องเรียนภาษาจีนด้วย เพราะว่าครอบครัวของเต๋เป็นคนจีนครับ ในเรื่องเราใช้ภาษาจีนในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เต๋ต้องเก่งภาษาจีน ต้องพูดจีนคล่อง ผมก็ต้องเรียนด้วย ซึ่งยากมากครับ
จากรักฉุดใจฯ ที่เป็นนักแสดงร่วม สู่การเป็นนักแสดงหลักในแปลรักฉันด้วยใจเธอ กดดันมากน้อยแค่ไหนคะ
บิวกิ้น: กดดันมาก… ความที่เป็นนักแสดงนำ จะเห็นแบ็คกราวนด์และความสำคัญในซีนเยอะ เราต้องทำการบ้านอย่างดี เพราะต้องดำเนินเรื่องหลักทั้งหมด การเตรียมตัว ความกดดัน ความรับผิดชอบ ทุกๆ อย่างหนักขึ้น คูณ 10 จากรักฉุดใจฯ ยอมรับว่ากดดันมาก เพราะเราก็รู้ว่าแฟนๆ รอที่จะดู
พีพี: ทันทีที่แฟนๆ รู้ว่าจะมีโปรเจ็กต์นี้เกิดขึ้น ติดเทรนด์ด้วย เราก็ห๊ะ! ตกใจมาก คือมันเป็นกำลังใจที่ดีมาก แต่ในขณะเดียวเราก็กดดันตัวเองไปด้วย คือเบื้องหลังการถ่ายทำกว่าจะเล่นได้ กว่าจะปิดกลอ้ง เราโดนพี่บอสด่าจนร้องไห้กันไปไม่รู้กี่รอบเนอะ
บิวกิ้น: ช่าย (ยิ้ม) คือเราสองคนเข้าใจครับ พี่บอสเขาด่าด้วยความหวังดี เพราะอยากให้ผลงานมันออกมาดี เขาอยากให้มันออกมาใช่ที่สุด
เป็นเพื่อนสนิทกันมานาน พอมาทำงานด้วยกัน ทำให้มีกำลังใจและการทำงานราบรื่นขึ้นมั้ย
บิวกิ้น-พีพี: ช่วยได้มากๆ ครับ
บิวกิ้น: เราเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว สนิทสนมคุ้นเคยกันมานาน เลยไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก ไม่ต้องสร้างความคุ้นเคยกัน เราพร้อมที่จะซัพพอร์ทกัน จูนกันง่ายขึ้นเวลาทำงาน รวมถึงพี่บอส ผู้กำกับด้วยนะครับ ต่างก็พอรู้แนวกัน เพราะทำงานด้วยกันมาก่อน
พูดจริงๆ เลยนะ ถ้าผมไม่ได้เล่นกับพีพี ผมไม่รู้เลยว่าผมจะทำมันได้ดีหรือเปล่า คือนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าโอ้เอ๋วไม่ใช่เขา ผมก็นึกไม่ออกว่าจะเล่นกับใคร แล้วใครที่เหมาะ หรือดีกว่านี้ ไม่มีแล้วครับ
พีพี: สำหรับพี คือถ้าสมมติเราเล่นกับคนอื่น ก็อาจจะเล่นได้ แต่ถ้าให้เล่นออกมาดีที่สุดก็ต้องเล่นกับเขา พีถึงจะทำมันออกมาได้ที่สุดในแบบที่ควรจะเป็น
บิวกิ้น: อย่างที่บอกว่า การทำงานหนักหน่วงมาก ทั้งบท ทั้งการทำงานที่เราสองคนต้องเข้าทุกซีน การมีเพื่อน มีบัดดี้ทางการแสดงที่เข้าใจกัน มันโอเคมากๆ เขาซัพพอร์ตเรา เราซัพพอร์ตเขา ถ้าคนใดคนหนึ่งเข้าซีน ถึงแม้กล้องจะไม่จับอีกฝ่ายหนึ่ง คือถ้าพีพีเข้าซีน แต่กล้องไม่จับผม ผมก็จะยืนอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น คอยส่งอารมณ์ให้ เขาเองก็ทำแบบนี้กับเราเช่นกัน คือยืนกันอยู่ห่างๆ คอยเป็นกำลังใจ สำหรับการทำงานงานเรื่องนี้ เราต้องจับมือไปด้วยกันให้รอด ไปให้ดีที่สุดครับ ดีใจนะที่ได้ทำงานกับเขา
ที่บอกว่าเรื่องนี้ดราม่า แล้วซีนชวนจิ้นมีบ้างมั้ยคะ
บิวกิ้น: ซีนคุยกันบางคนก็อาจจะรู้สึกจิ้นได้
พีพี: มันเล่าเรื่องความสัมพันธ์มากกว่าครับ แล้วถ้าแฟนๆจะไปจิ้นตรงนั้นก็ได้อยู่
บิวกิ้น: เอาจริงๆ นะ มันอาจจะไม่ได้มีโมเม้นท์จิ้นกันแบบหนักหน่วง แต่มันจะมีเสน่ห์บางอย่างของแต่ละซีนมากกว่าครับ ซึ่งจะทำให้คนดูยิ้มได้เหมือน ไม่ว่าจะความมุ่งมั่นของตัวละคร ความเป็นห่วงกันอ้อมๆ แค่นี้ผมเชื่อว่าก็จิ้นได้แล้วนะ เดี๋ยวลองดูกันตอนออนแอร์ครับ (ยิ้ม)
ความเข้าพระเข้านาย จะมีเหมือนเรื่องอื่นๆ บ้างมั้ย
พีพี: ต้องไปลุ้นๆ (ยิ้ม)
บิวกิ้น: อาจจะมีหรืออาจจะไม่มี อาจจะมีซีนที่บางคนอาจจะคิดว่าใช่ บางคนอาจจะคิดว่าไม่ใช่ก็ได้
พีพี: ต้องไปรอดู (ยิ้ม)
บิวกิัน-พีพีรู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อไรคะ
บิวกิ้น: จริงๆ เราเคยเจอกันที่เรียนพิเศษมาก่อน แต่ไม่เคยคุยกัน คือมองหน้ากัน จำหน้าได้ แต่มาคุยกันเพราะว่ามาอยู่นาดาวด้วยกัน ตอนเจอกันครั้งแรกเรารู้สึกว่า คนนี้ไม่น่าคบ ไม่อยากคุยด้วย
พีพี: ผมเจอเขา ผมก็ไม่คุยกับเขานะ แต่เขาเป็นคนชวนผมคุย
บิวกิ้น: ชวนคุยตั้งแต่ที่เรียนพิเศษเพราะว่า… พอเรารู้ว่าเขาอยู่นาดาวแล้ว เดี๋ยวจะต้องมีวันที่เราไปเวิร์คช้อปด้วยกัน ก็ชวนคุยหน่อยแล้วกัน
พีพี: เขาแค่อยากสนิท…
บิวกิ้น: ไม่ได้อยากสนิท แค่เดินเข้าไปถามว่า เดี๋ยวจะต้องไปเวิร์คช้อปใช่มั้ยแค่นี้เอง หลังจากนั้นเขาก็มาตีซี้ผม เฮ้ย! ไปนั่นกันมั้ย กินนี่มั้ย คือผมแค่เป็นคนเปิดว่าไหนๆเราจะต้องเจอกัน เผื่อได้ร่วมงานกัน ก็ทักทายไว้เป็นมิตรภาพที่ดี ดีกว่าจะมานั่งเขม่นกัน พอผมเปิด เขาก็พุ่งเข้ามาเลย เพราะเขาอยากสนิทกับผม (หัวเราะเอิ๊กอ๊าก)
พีพี: เขาอยากสนิท ก็เลยมาชวนพีคุยครับ
บิวกิ้น: ผมทักเป็นมารยาทเท่านั้นแหละ สุดท้ายก็มาชวนไปนั่นไปนี่
พีพี: ผมก็ชวนเป็นมารยาท (หัวเราะ)
บิวกิ้น: (หัวเราะ)
จากที่ทักทายเป็นมารยาท สุดท้ายก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆ สนิทกันได้ยังไงคะ
พีพี: ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมอยู่ม.6 แล้วเขาอยู่ ม.5 เราก็เจอกันที่เรียนพิเศษภาษาอังกฤษนั่นแหละ ม.6 ทุกคนวุ่นกับการสอบ แต่พีชิล เพราะมีคะแนนแล้ว แล้วช่วงนั้นเขาก็ว่างพอดี คือเขาก็มีคะแนนแล้วเหมือนกัน เพื่อนคนอื่นๆ ไม่ว่างเพราะเตรียมสอบ เวลาว่างพร้อมกันก็เลยชวนกันไปลั้นลาได้
บิวกิ้น: คือเวลาว่างตรงกัน
พีพี: ไปเรียน กินข้าว ดูหนัง
บิวกิ้น: เราก็ว่างเหมือนเขา มีกิจกรรมที่นาดาวเหมือนกัน ไดเรคติ้งใกล้เคียงกัน เจอกันตอนทำงานงานด้วย เสร็จงานแล้วก็ ไปกินข้าวกัน เลยทำให้สนิทกันเร็ว
คำถามสุดท้ายก่อนแยกย้าย อยากรู้ว่าทั้งคู่มีมุมมองต่อความรักเพศเดียวกันอย่างไรคะ
พีพี: ก็คือความรักอีกรูปแบบหนึ่งครับ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยครับ คือความรู้สึกดีๆ ความห่วงใย มิตรภาพที่มีให้กัน
บิวกิ้น: ง่ายๆ แบบไม่ซับซ้อนเลย ผมว่ามันก็คือความรักอะครับ จะความรักแบบไหน ความรักมันก็คือความรัก มันไม่ได้มีข้อจำกัด ไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ครับ สำหรับผม ความรักไม่มีนิยาม ใครจะรักใครได้
พีพี: รักก็คือรัก
บิวกิ้น: ใช่! “หลงก็คือหลง ถ้าถามชาวประมงก็คงไม่เข้าใจ”
(หัวเราะกันยกวงสนทนา)
ฝากผลงานซีรีส์ ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ’ กับแฟนๆ สุดสัปดาห์ได้เลยค่ะ
บิวกิ้น: แปลรักฉันด้วยใจเธอ เป็นซีรีส์ดราม่าที่พูดถึงหลายๆ มุมของช่วงวัย ม.ปลายครับ อยากให้ทุกคนดู เพราะจะมีหลายๆมุมที่ทุกคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับวัยรุ่นม.ปลายยุคนี้ หรือว่าความสัมพันธ์ในเรื่องของความรัก มุมมองต่อครอบครัว มุมมองของเพื่อน รวมถึงแฟคเตอร์อื่นๆ ที่จะมากระทบวัยรุ่น ดูแล้วผู้ใหญ่เข้าใจเด็กมากขึ้น เด็กเข้าใจผู้ใหญ่มากขึ้นเช่นกัน เบื้องหลังเรื่องนี้ทุกคน ทุกฝ่ายตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุด และคิดว่าทุกคนน่าจะชอบนะครับ ฝากซีรีส์ แปลรักฉันด้วยใจเธอ ด้วยครับ ออนแอร์ทาง Line TV ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.00 น. เริ่ม 22 ตุลาคมนี้นะครับ
นายแบบ: บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล / พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร
ช่างภาพ: Naowapoj Phothikasem
สไตลิสต์: Akaphol Ruthaiyanont
ผู้ช่วยสไตลิสต์: Kanathit konchuenpreecha / Napapach Sripatta
สัมภาษณ์: AuAi
ขอบคุณ: นาดาว บางกอก
เสื้อผ้าและเครื่องประดับ:
PRADA Central Embassy 1 fl. Tel. 02-160-5744
Salvatore Ferragamo Siam paragon M fl. Tel. 02 610 9463
FENDI สยามพารากอน ชั้น M โทร 02-610-9287
Ermemegildo Zegna Siam Paragon M fl.
Tel. 02-610-9355
Ravipa jewelry IG: @ravipajewelry
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เรื่องย่อซีรีส์ แปลรักฉันด้วยใจเธอ บิวกิ้น-พีพี ทุ่มสุดตัวกับบทนำการแสดงครั้งแรก