ผ่าน ไปสองตอนแล้วกับทริป Hokkaido Sweets Road ตะลุยชิมริมทางเที่ยว ขีดเส้นใต้ 2 เส้นเน้นของหวานโดยเฉพาะ เริ่มจากเมืองคุชิโระเรื่อยไปถึงเมืองอะบาชิริ สองวันสองคืนที่ผ่านมานั้นเรียกได้ว่ามาถึงครึ่งทางแล้วสำหรับการเที่ยวทริ ปนี้ แต่สำหรับการชิมที่ผ่านมานั้น ต้องใช้คำว่า “แค่เริ่มต้น” เพราะหลังจากนี้ไปจะเป็นช่วงเวลาอลังการงานชิมของจริง เช้าวันที่สาม ได้เวลากล่าว “ซาโยนาระ” ลาเมืองอะบาชิริแล้วมุ่งหน้าสู่เมืองคิตะมิ (Kitami)
ชิมหอยเชลล์ที่โรงงาน “Shinya”
คิ ตะมิเป็นเมืองเล็ก ๆ ริมทะเลโอคอตสค์ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอะบาชิริ ห่างกันประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ระหว่างทางเราแวะชมโรงงาน “Shinya” ผู้ผลิตและส่งออกหอยเชลล์แปรรูปจากทะเลโอคอตสค์ ของกินเล่นที่ใช้หอยเชลล์สดใหม่มาปรุงรสและแปรรูปหลากหลายชนิดมีให้ลองชิม ที่นี่ ทั้งหอยเชลล์ย่างดองน้ำเกลือ หอยเชลล์ย่างท็อปปิ้งด้วยชีสฮกไกโดที่เนื้อแน่นเหนียวเคี้ยวเพลินรสชาติเข้ม ข้น แต่ที่ถูกใจสุด ๆ คือ หอยเชลล์อบกรอบ ลักษณะเป็นแผ่นบางเหมือนมันฝรั่งทอดกรอบ แต่ส่วนผสมคือหอยเชลล์ร้อยเปอร์เซ็นต์ อร่อยแบบหยุดไม่อย่เู ลยทีเดียว
จุดชมวิวทะเลโอคอตสค์
ชิม หอยเชลล์จากทะเลโอคอตสค์แล้วก็ต้องไปชมทะเลโอคอตสค์กันต่อที่ “Tokoro Traffic Terminal” เดิมทีสถานที่แห่งนี้เป็นสถานีรถไฟเก่าติดกับชายทะเล ในฤดูหนาวตรงบริเวณชายหาดจะกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมดเป็นอีกจุดชมวิวที่ไม่ควร พลาดอย่างยิ่งเมื่อมาเที่ยวเมืองคิตะมิ แต่สำหรับในปัจจุบันตัวสถานีใช้เป็นจุดประชาสัมพันธ์เรื่องการเดินทางและ เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ ให้เข้าชมเครื่องไม้เครื่องมือของเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟในสมัยก่อน แถมยังเจ๋งตรงเข้าได้ฟรีไม่มีค่าผ่านประตูด้วย
เปิดประสบการณ์ใหม่กับกีฬาเคอร์ลิ่ง
นอก จากอาหารทะเลสด ๆ กับขนมหวานอันขึ้นชื่อของเมืองคิตะมิแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นที่ภาคภูมิใจของชาวเมืองคิตะมิ นั่นก็คือกีฬาเคอร์ลิ่ง (Curling) และ “Advics Tokoro Curling Hall” สนามฝึกซ้อมและแข่งกีฬาเคอร์ลิ่งประจำเมือง โดยมีคุณชิราฮาตะ นักกีฬาเคอร์ลิ่งทีมชาติชุดโอลิมปิกมาเป็นผู้ฝึกสอนประจำอยู่ที่นี่ด้วย
ใคร ที่เคยชมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวก็อาจจะรู้จักกีฬาเคอร์ลิ่งดี แต่สำหรับใครที่ไม่รู้จักมาก่อนคงจะอดอมยิ้มกับกีฬาน่ารัก ๆ ชนิดนี้ไม่ได้ เพราะดู ๆ ไปแล้วก็เหมือนการแข่งไถหม้อไปบนพื้นน้ำแข็งให้เข้าเป้านั่นเอง จริง ๆ แล้วกีฬาเคอร์ลิ่งนี้มีประวัติยาวนานมากว่า 500 ปี มีต้นกำเนิดมาจากสกอตแลนด์ เริ่มเล่นกันบนพื้นผิวทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว สำหรับกฎกติกานั้น ผู้เล่นแต่ละทีมจะต้องผลักก้อนหินลักษณะคล้ายหม้อที่เรียกว่า “สโตน” ให้ไถลไปบนลานน้ำแข็งให้เข้าใกล้ “โฮม” วงกลมสีแดงมากที่สุด โดยคนผลักหนึ่งคนจะประจำอยู่คนละฝั่ง เมื่อผลักไปแล้วอีกสองคนในทีมจะต้องช่วยกันใช้อุปกรณ์คล้ายไม้ถูพื้นขัด ๆ ถู ๆ พื้นน้ำแข็งเพื่อประคองบังคับทิศทางให้ดีที่สุดโดยไม่แตะต้องก้อนสโตน แต่ละทีมจะสลับกันผลัก 8 ครั้งเพื่อให้สโตนของทีมตัวเองใกล้โฮมที่สุด ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยผลักไปชนหรือกีดขวางฝั่งตรงข้ามไม่ให้เข้าใกล้โฮมได้ ส่วนวิธีนับแต้มก็จะคล้าย ๆ กับกีฬาเปตอง เคอร์ลิ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งในโอลิมปิกฤดูหนาวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1924 แล้วก็ถูกยกเลิกไป ก่อนมีการนำกลับมาบรรจุใหม่ในปี ค.ศ. 1988 และแข่งมาจนถึงปัจจุบัน
Advics Tokoro Curling Hall เป็นหนึ่งในสนามแข่งซึ่งมีแค่ 3 ที่เท่านั้นในญี่ปุ่น ใครสนใจแวะมาลองเล่นกันได้ ที่นี่มีครูฝึกสอนระดับนักกีฬาทีมชาติคอยให้คำแนะนำ หรือใครที่ไม่ถนัดเรื่องกีฬาจะมาชิมขนม “Curling Cake” เค้กบัตเตอร์ครีมรูปสโตนแสนอร่อยของที่นี่ก็ได้ ราคาเพียงชิ้นละ 180 เยนเท่านั้น
เข้าคอร์สทำขนมที่ร้านไดมารุ
มาเมืองขนมทั้งที หากได้ลงมือทำขนมด้วยตัวเองก็นับเป็นประสบการณ์ที่ดีไม่น้อย
เชฟสึ สึกิซังแห่งร้านไดมารุ ร้านขนมร้านดังของเมืองคิตะมิ วันนี้มาเป็นคุณครูเชฟสอนทำขนม “Nerikiri (เนริกิริ)” ขนมถั่วบดหวาน ๆ ปั้นเป็นรูปดอกไม้ต่าง ๆ คุณครูสึสึกิซังรู้ว่าเรามาจากเมืองไทยก็เลยทำการบ้านก่อนสอนมาอย่างดี ตั้งใจจะให้เราปั้นเป็นดอกไม้ไทย (ดอกคูณ) นักเรียนไทยอย่างเราเลยตั้งใจเป็นพิเศษ ปั้นกันจนคิ้วขมวด แต่ยังไง ๆ ก็ยังสวยไม่ได้ครึ่งของคุณครู สงสัยเอาดีด้านชิมเห็นจะรุ่งกว่า
ขนมขายดีอันดับ 1 ของร้านไดมารุคือโดรายากิรูปปลาแซลมอนไส้ถั่วแดง รสหวานกำลังดี เนื้อแป้งหนานุ่ม เป็นขนมที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง
ชิมขนมระดับแชมเปี้ยนร้านเซเก็ตสึ
ถัดจากร้านไดมารุมาไม่ไกลมีร้านชีสเค้กที่ห้ามพลาดอยู่อีกหนึ่งร้าน ร้านนี้ชื่อว่า Seigetsu (เซเก็ตสึ)
จาก ตำนานความอร่อยที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ปัจจุบันคุณวาตานาเบะ มอนโด เป็นทายาทรุ่นที่ 3 แล้ว เขาเป็นชายที่น่าอิจฉาที่สุดในโลกอีกคนหนึ่งก็ว่าได้ เพราะเติบโตมาพร้อมกับขนมอร่อย ๆ รอบตัวมากมาย วันนี้คุณวาตานาเบะมาแนะนำขนมเด็ด ๆ ด้วยตนเอง
– Sairo Akai ชีสเค้กฮกไกโดอันเลื่องชื่อ แป้งเค้กที่เบานุ่มชุ่มไปด้วยชีส การันตีด้วยรางวัลขนมยอดนิยมอันดับ 1 ของรายการทีวี ชิรุ ชิรุ มิชิรุ
– Baumurasuku ขนมขอนไม้แบบกรอบ ลิขสิทธิ์ของที่นี่ที่เดียว (ปกติร้านอื่นจะเป็นเค้กแบบนิ่ม) ด้วยเทคนิคการอบขนม 2 ขั้นตอนเพื่อให้ได้ความกรอบ เนื้อจะเป็นชั้น ๆ เหมือนวงปีต้นไม้ ได้รับรางวัลจากทางการฮกไกโดให้เป็นขนมอร่อยไอเดียเด็ด
รางวัลเพียบแบบนี้ สมกับเป็นเจ้าตำนานแชมเปี้ยนขนมตัวจริง
พิพิธภัณฑ์มินต์ (Kitami Mint Memorial Museum)
ไม่ เชื่อก็ต้องเชื่อว่า มินต์ 70 เปอร์เซ็นต์ของตลาดโลกมีแหล่งเพาะปลูกอยู่ที่คิตะมิ ในสมัยก่อนมินต์จึงเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของชาวคิตะมิ เรียกได้ว่าปลูกกันแทบจะทุกบ้าน ปลูกกันจนผลผลิตล้นตลาด ราคาตก แล้วก็ทยอยเลิกปลูกมินต์กันไป
เดิมทีนั้น Kitami Mint Memorial Museum เคยเป็นโรงงานผลิตน้ำมันหอมระเหยจากมินต์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1935 แต่พอตลาดมินต์เริ่มซบเซา โรงงานก็ขาดทุน และต้องปิดตัวลงหลังจากเปิดมาได้เกือบ 50 ปี หลังจากนั้น 3 ปี เจ้าของโรงงานจึงปรับปรุงที่นี่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเก็บเรื่องราวและ ความทรงจำอันมีค่าของชาวคิตะมิไว้ตลอดไป รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็เล็งเห็นคุณค่าของพิพิธภัณฑ์มินต์แห่งนี้เช่นกัน จึงขึ้นทะเบียนให้ที่นี่เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1996 และยกให้เป็นมรดกทางอุตสาหกรรมในปี ค.ศ. 2007
ในปัจจุบันคุณยูอิจิ นากาโตะ ท่านประธานบริษัทได้พยายามรักษามินต์ไว้ให้อยู่คู่เมืองคิตะมิ เลยคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ทำจากมินต์ขึ้นมาจำหน่าย และส่วนหนึ่งก็เป็นการช่วยเหลือเกษตรผู้ปลูกมินต์ที่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว ด้วย และแน่นอนหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นขึ้นก็ต้องมีขนมที่ทำจากมินต์
“Menbis” คุกกี้ช็อกโกแลตสอดไส้ครีมมินต์ หวาน ๆ เย็น ๆ หอมกลิ่นมินต์ ลองชิมดูแล้วสดชื่นมาก
เนื้อย่างคิตะมิ
ปิด ท้ายวันนี้ด้วยมื้อค่ำสไตล์บุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างที่ร้าน Mikakuen Yakiniku เป็นร้านที่อยากจะแนะนำมาก ๆ สำหรับคนชอบเนื้อ เพราะเนื้อวัวเมืองหนาวอย่างนี้จะมีไขมันแทรกชุ่มฉ่ำ ยิ่งปิ้งด้วยเตาถ่านจะได้ความหอมแบบเฉพาะตัว เป็นการจบวันหวาน ๆ ที่คิตะมิด้วยของคาวที่แสนประทับใจ
ช็อปปิ้งงานไม้ที่เอ็งการุ
วัน ที่สี่ จากคิตะมิเราจะมุ่งหน้าสู่ซัปโปะโระ ใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ ระหว่างทางแวะมากินขนมเด็ดกันที่ Mokurakukan Hall เมืองเอ็งการุ ศูนย์ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไม้ต่าง ๆ ทั้งข้าวของเครื่องใช้ ของเล่น ของแต่งบ้าน โดยไม้ทั้งหมดที่ใช้เป็นไม้ที่ปลูกขึ้นมาโดยเฉพาะ
ที่นี่มีผลิตภัณฑ์ ไม้ไอเดียเกร๋ ๆ อยู่เยอะมาก แต่ถ้าเรื่องความเก๋าต้องยกนิ้วให้คุณลุงคาตากิริ ซาดามิ ช่างไม้เพียงคนเดียวของที่นี่ ทั้งคิดทั้งออกแบบ ลงมือทำทั้งหมดด้วยฝีมือของคุณลุงเพียงคนเดียว
ช็อปเสร็จก็ได้เวลา ชิม ที่นี่มีขนมพื้นบ้านที่เรียกว่า “Bata Bata” ให้ลองชิมกัน ซึ่งรับรองว่าหาทานได้ยากมาก เพราะเป็นขนมที่ทำมาจากถั่วมาเอะคาวะซึ่งมีเฉพาะที่เมืองนี้ ผสมกับแป้งมันฝรั่งแล้วนำมานาบกับกระทะร้อน ๆ ซึ่งปกติจะทำกินกันเองในครอบครัวเท่านั้น
ปิดท้ายเส้นทางของหวานที่ซัปโปะโระ
และแล้วเราก็มาถึงซัปโปะโระ เมืองสุดท้ายปลายทางความหวานของทริปนี้
เมือง ซัปโปะโระเป็นเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจและเป็นเมืองหลวงของเกาะฮกไกโด เป็นสวรรค์ของนักช็อปปิ้ง เป็นเมืองที่น่าเที่ยวที่สุดอีกเมืองหนึ่งของญี่ปุ่น มีหลาย ๆ อย่างที่เป็นจุดเด่นของเมือง เช่น สกีรีสอร์ต มิโซะราเม็ง ทุ่งดอกไม้ต่าง ๆ รวมทั้งสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่ถือได้ว่าเจ๋งสุด ๆ ไม่แพ้กรุงโตเกียวเลย สำหรับคนชอบศิลปะและวัฒนธรรม ที่เมืองนี้ก็มีให้คุณไปเยี่ยมชมได้อย่างครบครัน แต่เป้าหมายหลักของเราในทริปนี้คือของหวาน
“Fruitscake Factory” ร้านยอดนิยมของบรรดาหนุ่มสาวชาวซัปโปะโระคนเยอะมาก จุดขายของร้านคือ การคัดเลือกผลไม้ที่ดีที่สุดในแต่ละฤดูกาลนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำขนม ในหนึ่งปีเมนูขนมจึงเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ว่ามีผลไม้อะไรสดใหม่ กินกันได้ทั้งปีไม่มีเบื่อ เมนูขายดีอันดับ 1 คือ Strawberry Tart มาแล้วต้องไม่พลาด สตรอว์เบอร์รี่หวานกรอบพายหนากำลังดี รสชาติฟินสุด ๆ
และ สำหรับนักชิมตัวยง เราแนะนำให้ไปที่ Akarenga Terrace ที่นี่เป็นศูนย์รวมร้านอาหารเจ๋ง ๆ มากมาย ของเด็ดอยู่ที่ชั้น 1 ชื่อร้าน “Péché Grand” (เปเช่แกรนด์) ร้านอาหารและขนมสไตล์ฝรั่งเศสที่ใช้วัตถุดิบชั้นเลิศของฮกไกโด ตกแต่งสไตล์ยุโรป หรูหราควรค่าแก่การไปชิมสักครั้ง
แต่ถ้าอยากอร่อย แบบไม่อั้นให้เดินขึ้นมาชั้น 2 มากินอาหารบุฟเฟ่ต์แบบจัดเต็มที่ร้าน “Tsuruga Buffet Dining Sapporo” เป็นร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ระดับโรงแรม (ของเครือ Tsuruga) อยากกินเมนูไหนจัดไปตามใจชอบ มื้อกลางวันหัวละ 2,700 เยน ส่วนมื้อเย็นหัวละ 5,000 เยน
เรียกว่าวันนี้เราปิดท้ายทริปกัน แบบฟูลออปชั่นทั้งของหวานและของคาว ใจจริง อยากจะอยู่ตะลุยกินให้นานกว่านี้ แต่คิดถึงตารางงานแน่นเอี้ยดที่ กทม.แล้ว…
เอาเป็นว่าคราวหน้าพี่จะจัดหนัก (กว่านี้) ให้ลือลั่นฮกไกโดเลยคอยดู ฮึ่ม!!
Text & Photo : Gai