เราเชื่อว่ารสนิยมการดูหนังเป็นเรื่องส่วนบุคคล เช่นเดียวกับการกินดื่มและความสวยงาม ที่ต่างคนต่างมุมมอง ต่างความชอบ ฉะนั้นการรีวิวหนังเรื่องนี้จึงขอทำหน้าที่แค่บอกเล่าความรู้สึกและเรื่องราวบางส่วนที่สัมผัสได้จากตัวเรื่อง ส่วนจะดีหรือไม่อยากให้ไปดูและตัดสินกันเองมากกว่า # moonlight
การไปดู Moonlight โดยไม่มีข้อมูลใดๆ ในหัวเลย นอกจากรู้มาว่าตัวหนังได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสาขาดราม่าจากเวทีลูกโลกทองคำ (Golden Glob) ทำให้ความคาดหวังเอนเอียงไปทางเดียวคือ “ความดีงาม” ของตัวหนัง ส่วนจะสนุกหรือให้ความรู้สึกอย่างไร ไปว่ากันหน้างานล้วนๆ
ในฐานะคนทำงานประจำที่ช่วงหลังมานี้ไม่ค่อยได้ดูหนังเท่าไร ยอมรับว่า Moonlight ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกไม่น้อย นับตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง กระทั่งเดินออกจากโรงหนัง เป็นความรู้สึกที่ขมขื่นปนอบอุ่นอย่างประหลาด เหมือนกับว่าเรื่องราวของ “ไชรอน” ทั้งในวัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ ดึงเราให้จมดิ่งไปกับความทุกข์และความสุขอันน้อยนิดในชีวิตเขาได้อย่างจัง
ตัวหนังค่อนข้างให้น้ำหนักกับความทุกข์ที่นำไปสู่พัฒนาการของตัวเอกและเรื่องราวทั้งหมด จากเด็กชายที่โตมากับแม่ซึ่งติดยาและขายตัว ถูกเพื่อนล้อ โดนกีดกันจากกลุ่มเพื่อน ซ้ำเติมมาจนถึงช่วงวัยรุ่นที่แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ก่อนจะเกิดจุดแตกหักที่นำไปไปสู่การพลิกชีวิตอย่างสิ้นเชิง
แต่ในทุกช่วงเวลาของเขาถึงจะห่าเหวหรือเลวร้ายแค่ไหน ก็ยังคงมีแสงสว่างเล็กๆ ที่ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจอันบอบบางให้ยืนหยัดได้เสมอ เรามองว่านั่นคือ “ความรัก” ทั้งจากพ่อค้ายาผู้ปรารถนาดีและสอนหลายสิ่งหลายอย่างให้ในวัยเด็ก เพื่อนสนิทที่กลายมาเป็นรักแรกและรักเดียว แม้กระทั่งแม่ที่แทบไม่เคยทำหน้าที่แม่ที่ดีเลย เหล่านี้เป็นที่มาของความรู้สึกอบอุ่นที่ส่งผ่านมาถึงคนดูได้
ตลอดทั้งเรื่องแต่ละฉากแต่ละตอนทิ้งสัญลักษณ์ไว้มากมายสำหรับคนชอบตีความ ส่วนใครที่ไม่ชอบคิดมากอยากดูเพลินๆ ก็เชื่อว่าน่าจะซึบซับความขมและความอบอุ่นที่ตัวหนังนำเสนอออกมาได้เช่นกัน และแม้จะเป็นหนังดราม่า แต่สำหรับเรา Moonlight มีกลิ่นอายความเป็นหนังรักเบาๆ ที่แม้จะไม่ทำให้ยิ้มตาม แต่ดีงามทีเดียว
เรื่องนี้ไม่ต้องเตรียมทิชชู่ ไม่ต้องเตรียมหมอน เชื่อว่าคอหนังน่าจะนั่งอินกันได้ยาวๆ