เที่ยวญี่ปุ่นอารมณ์ใหม่ ไม่ซ้ำใคร ที่ ฮอกไกโดเหนือ

Alternative Textaccount_circle
event

Day 3:

Bye Bye Rebun เราจะคิดถึงกันนะ

วันรุ่งขึ้นเราตื่นสายได้นิดหน่อย (คือ 6 โมงเช้า!) เพื่อแวะไปชม Kitano Kanaria Park ก่อนกลับฝั่ง ตรงนี้เป็นโลเคชั่นโรงเรียนย้อนยุคในการถ่ายหนังมาก่อน เมื่อใช้เสร็จก็จัดการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเสียเลย เพราะมันสวยมาก นึกภาพตามนะ… อาคารโรงเรียนเก่าแก่ตั้งอยู่บนหน้าผาริมทะเล มีฉากหลังเป็นภูเขา Rishiri อยู่ไกลๆ รอบๆ เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างแซมด้วยดอกหญ้าสีเหลืองปลิวไสว …โรแมนติกมาก ด้วยความเก๋ของสถานที่ทำให้ตรงนี้เป็นจุดจัดอีเว้นท์ต่างๆ ของเกาะด้วย วันที่เราไปเที่ยวก็เห็นทีมอีเว้นท์กับทีมแคเทอริ่งขนของมาเตรียมจัดงานอยู่เหมือนกัน

ตอนลงเรือกลับมีคนกระซิบให้รอดูการส่งนักท่องเที่ยวออกจากเกาะ ตอนแรกคิดว่าจะแค่บ๊ายบายกัน แต่เอาพอเห็น เอิ่ม เขาส่งกันจริงจังมาก เช่น ที่พักสำหรับวัยรุ่นลุยๆ หน่อย พนักงานจะมาเต้นและร้องเพลงส่งจนกว่าเรือจะออก ส่วนอีกโรงแรมมาแบบเรียบร้อย ยืนเข้าแถวถือร่มเรียงเป็นตัวอักษรส่งสวยๆ แต่พอเรือออกเท่านั้นแหละ วิ่งตามมาส่งจนสุดท้าเรือเลยจ้า …นักท่องเที่ยวน้ำตาแทบไหล

 

แวะถ่ายรูปแนวๆ กันที่ Wakkanai North Breakwater Dome

พอถึงฝั่งเราแวะแวะไปถ่ายรูปเล่นกันที่ Wakkanai North Breakwater Dome  ที่ตรงนี้ไม่ได้มีวันกันคลื่นและลมแรงเท่านั้น แต่ด้วยโครงสร้างเป็นโดมครึ่งวงกลมสไตล์กอธิคยาวกว่า 427 เมตร จึงมีความอลังการอยู่ในตัว เหมาะมากสำหรับถ่ายภาพแนว Perspective สวยๆ ตอนที่เราไปมีนิทรรศการศิลปะอยู่ด้วย ก็เลยได้รูปแนวๆ กลับมาเพียบ

 

Café Ferme คาเฟ่ญี่ปุ่นสุดน่ารักระหว่างทาง

จากนี้เราจะเดินทางลงใต้ไป Supporo และแวะตามจุดที่น่าสนใจระหว่างทางไปเรื่อยๆ จุดแรกคือ Café Ferme คาเฟ่ท้องถิ่นน่ารักคิกขุในเมือง Toyotomi ที่เราแวะกิน อุด้งกับหมูห่อข้าว เป็นมื้อกลางวันแล้วตบท้ายด้วยไอศครีมนมขึ้นชื่อของร้าน อร่อยดีนะแต่น้อยกว่าสู้ไอศครีมนมรสเกลือบนเรือ!

 

สัมผัสธรรมชาติกลางสายฝนกับรถราง Bifuka Trolley

จุดหมายต่อมาคือการแวะนั่งรถรางที่เมือง Bifuka รางที่เห็นนี้สมัยก่อนเป็นรางรถไฟวิ่งระหว่างเมือง แต่ตอนหลังไม่ค่อยมีคนใช้ จึงดัดแปลงมาทำรถรางท่องเที่ยว ระยะทาง 5 กิโลเมตรเลียบถนนใหญ่และป่า ผ่านลำธารใหญ่น้อย 3 แห่ง ใช้เวลาไป-กลับประมาณ 40 นาที แต่ไม่รู้สึกเบื่อเลย เพราะได้สัมผัสธรรมชาติเต็มตาเต็มปอด ได้เห็นกวางหากินตามชายป่าถึง 2 ตัวและอีก 1 ครอบครัว น่ารักมากๆ …เจ้าหน้าที่ที่นี่บอกว่าเราเป็นคนไทยกลุ่มแรกที่มาเที่ยวอีกแล้ว Unseen จริงๆ เนอะ (ค่าตั๋วคนละ 1,500 เยน)

ค่ำวันนี้เราพักกันที่ Grand Hotel Fujika ในเมือง Nayoro เมืองเล็กๆ ระหว่างทาง เนื่องจากมาถึงตอนค่ำจึงมีเวลาออกไปสำรวจเมืองได้เล็กน้อย บรรยากาศก็เงียบๆ แสงสีน้อยแบบต่างจังหวัดญี่ปุ่น เป็นประสบการณ์ที่เราไม่ค่อยจะได้เจอถ้าไปเที่ยวในเมืองดังๆ อย่างโตเกียว-เกียวโต-โอซาก้า-ซัปโปโร

 

Day 4:

เช้าวันที่ 4 นี้เรามุ่งหน้าสู่ Supporo กันต่อ โดยแวะ 3 เมือง คือ Obira – Rumoi – Mishike

Obira หมู่บ้านชาวประมงผู้ร่ำรวย

เริ่มจาก Obira ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ สมัยก่อนจับปลานิชชิน (รสชาติคล้ายปลาทู) ได้เยอะมากจนต้องเอามาทำปุ๋ย ชาวประมงที่นี่จึงมีฐานะร่ำรวย สร้างบ้านใหญ่โตโอ่อ่า ปัจจุบันทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ซึ่งเราได้แต่ดูอยู่ภายนอกเพราะไม่อยู่ในโปรแกรม แต่ได้แวะ Tourist Information ข้างๆ ซึ่งเป็นอาคารใหญ่สร้างกลมกลืนกัน ชั้นล่างขายของฝากขึ้นชื่อประจำเมืองคือ ปลานิชชินแปรรูปและเมลอนเขียว ชั้นบนเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แสดงข้าวของในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นในอดีต

 

แวะฝากท้องที่ Rumoi

จากนั้นมุ่งหน้าไปแวะกินมื้อกลางวันกันที่เมือง Rumoi พร้อมกับแวะร้าน Tanaka Seika ร้านโอท็อปประจำเมืองที่ขายผักดองสารพัดชนิดมานานกว่า 60 ปีแล้ว มีชื่อเสียงในเรื่องความกรอบอร่อย เพราะหมักด้วยน้ำส้มสายชูสูตรเฉพาะ แบ่งเป็นผลไม้ดอง 12 ชนิด (ไว้กินกับเมนูแกงกะหรี่หรืออาหารฝรั่ง) และผักดอง 20 ชนิด (ไว้กินคู่กับอาหารญี่ปุ่น)

 

ชมโรงหมักสาเกเก่าแก่ที่เมือง Mashike

ถัดจาก Rumoi ไปเพียง 15 นาทีจะถึงเมือง Mashike ที่มีโรงบ่มสาเกเก่าแก่อายุกว่า 131 ปี เดินดูวิธีการบ่มและชิมสาเกสูตรต่างๆ สักครู่หนึ่งแล้วจึงยิงยาวสู่ Supporo ที่คนไทยคุ้นเคยกันดีกับเทศกาลหิมะและโลเคชั่นถ่ายหนังรักร้อยล้าน “แฟนเดย์ฯ” โดยเราถึงโรงแรม Sunroute New Supporo ค่อนข้างเร็ว จึงมีเวลาไปเดินชมเทศกาล Autumn Festival ที่สวนสาธารณะโอโดริใกล้โรงแรมก่อนไปกินมื้อเย็นสไตล์ Japanese Izakaya หรือร้านกินดื่มแบบมีกับแกล้มเพื่อส่งท้ายทริปกัน

…แม้ว่าวันสองวันนี้ดูเหมือนเราจะใช้เวลาอยู่บนรถเสียส่วนใหญ่ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด เพราะวิวสองข้างทางสวยมาก เป็นถนนเลียบชายฝั่ง ด้านหนึ่งเป็นทะเลสีน้ำเงินสดใส อีกด้านเป็นหน้าผา บางช่วงก็เป็นป่าไม้เขียวชอุ่มมีแม่แม่น้ำลำธารไหลผ่าน บ้างก็ไหลขนานยาวไปกับถนนเป็นระยะทางไกลๆ สลับด้วยพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน เป็นภาพที่ทำให้เราเพลิดเพลินจนไม่อยากหลับเลยทีเดียว

แค่วิวข้างทางยังประทับใจ คงไม่ต้องบรรยายถึงความรู้สึกยามได้สัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนบนฮกไกโดเหนือ ที่ยังคงความบริสุทธิ์ เรียบง่าย และเสน่ห์แบบญี่ปุ่นแท้ๆ ไว้เต็มเปี่ยมอย่างที่ยากจะหาในเมืองท่องเที่ยวดังๆ …ความสงบงามแบบนี้คือสิ่งที่ตราตรึงใจให้เราหวนคิดถึงเสมอ แม้ขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ภาพท้องทะเลสะท้อนแสงแดดสดใสยังคงแจ่มชัดจนแทบจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นและลมทะเล

แล้วพบกันใหม่นะฮกไกโดเหนือ เราหลงมนตร์เสน่ห์ของเธอเข้าแล้วละ

 

ขอบคุณ  องค์กรการท่องเที่ยวฮอกไกโด สนับสนุนการเดินทาง สนใจข้อมูลเพิ่มเติมติดตามได้ที่ th.visit-hokkaido.jp หรือ www.japanican.com/en

เรื่อง Nicharee W.

ภาพ Pannawat

 

ติดตามสกู๊ปท่องเที่ยวสนุกๆ ได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้ค่ะ

(มีคลิป) 9 สิ่งห้ามพลาดเมื่อมาเยือนฮกไกโดเหนือ Wakkanai – Rebun – Rishiri

Bali …Journey is More Than Destination!

สุโขทัย เมืองเก่าน่าเที่ยว …อาหารอร่อย-วัฒนธรรมโดดเด่น

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up