Loving Vincent ภาพสุดท้ายของแวนโก๊ะ …งานประณีตจากฝั่งตะวันตก!

Alternative Textaccount_circle
event

หลังจากที่ Studio Ghibli เจ้าของผลงานแอนิเมชั่นสุดประณีตจากฝั่งญี่ปุ่นประกาศพักงานสร้างภาพยนตร์จนแฟนๆ แอนิเมชั่นใจคอหายไปตามๆ กัน ในปีนี้ฝั่งตะวันตกได้ปล่อย Loving Vincent แอนิเมชั่นงานฝีมือที่สร้างจากภาพวาดสีน้ำมันทั้งเรื่องจากผู้สร้างอิสระ ออกมาสร้างความเซอร์ไพร้ส์!

Loving Vincent คือภาพยนตร์ที่นำเอาเทคนิคภาพวาดสีน้ำมันในสไตล์ของ วินเซนต์ แวนโก๊ะ สุดยอดจิตกรเอกของโลกมาถ่ายทอดเป็นเรื่องราวสู่แผ่นฟิล์ม โดยหลังจากเปิดตัวฉายในประเทศจีน หนังกวาดรายได้ไป 1.04 ล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นแท่นอันดับ 5 บ็อกซ์ออฟฟิศประเทศจีน และกวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ จัดว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่เลยสำหรับแอนิเมชั่นจากผู้สร้างอิสระ

เอาจริงๆ แค่แอนิเมชั่นที่สร้างจากภาพวาดสีน้ำมันทั้งเรื่องก็น่าไปดูแล้ว เพราะเพียงการพาสายตาไปชมความงามทางศิลปะก็จัดว่าคุ้มค่าคุ้มเวลา และยิ่งเป็นผลงานจากผู้สร้างอิสระยิ่งรู้สึกว่าน่าดู เพราะน่าจะมีมุมมองและการนำเสนอใหม่ๆ มาให้เราได้ชมกัน บวกกับหนังเพิ่งได้รางวัล Best European Animated Feature มาด้วย ก็ยิ่งทำให้คอหนังจับตามอง Loving Vincent

ความน่าสนใจของ Loving Vincent
  • เป็นแอนิเมชั่นที่สร้างจากภาพวาดสีน้ำมันทั้งเรื่อง ซึ่งนับเป็นเรื่องแรกของโลก โดยหนังได้นำเทคนิคการวาดภาพของแวนโก๊ะ มาดัดแปลงและใช้ในหนังมากกว่า 65,000 เฟรม
  • เป็นผลงานของผู้สร้างอิสระ
  • ใช้ทุนสร้างเพียง 5.5 ล้านเหรียญ
  • ใช้เวลาเกือบ 7 ปี
  • ได้รางวัล Best European Animated Feature + ได้เสนอชื่อเข้างชิงรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 75 สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม
  • หนังเล่าถึงช่วงชีวิตสุดท้ายของวินเซนต์ซึ่งน่าจดจำ และมีองค์ประกอบเกี่ยวกับงานศิลปะมาเกี่ยวข้อง (คอศิลปะจะต้องปลื้ม)
ภาพจาก: Loving Vincent – the world’s first fully painted feature film!

Loving Vincent ภาพสุดท้ายของแวนโก๊ะ เข้าฉายวันที่ 21 ธันวาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ …ไปดูกันนะ ^^

อ่านก่อนไปดู : ประวัติ วินเซนต์ แวนโกะ ศิลปินชื่อก้องโลก

วินเซนต์เกิดที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ชื่อเขาของถูกตั้งตามอาของเขาผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพนักขายผลงานศิลปะ พ่อแม่ของเขาอยากให้วินเซนต์ได้เดินตามรอยเท้าอาของเขาในธุรกิจนี้ ซึ่งในช่วงที่วินเซนต์อายุ 16 ปี เขาได้ร่วมงานในบริษัทที่ขายผลงานศิลปะ แม้ว่าในช่วงนั้นตัวเขาไม่มีความสนใจและทักษะเกี่ยวกับศิลปะเลย เขาก็ทุ่มเทและพยายามซึมซับมันอย่างเต็มที่ แต่แล้วทางบริษัทก็มีความเห็นว่าวินเซนต์ไม่มีความสามารถในการเจรจากับลูกค้า เขาจึงถูกไล่ออกในเวลาต่อมา เขาพยายามหางานอื่นด้วยการเป็นอาจารย์ในอังกฤษและผู้ช่วยร้านหนังสือในกรุงเฮก เขาพยายามเดินตามรอยเท้าพ่อของเขาด้วยการสอบเป็นบาทหลวงหลังการติวเข้มอย่างหนักเป็นเวลา 1 ปี แต่แล้วเขาก็ทำไม่สำเร็จ จนสุดท้ายเขาได้ลงเอยด้วยการเป็นผู้ช่วยนักเทศน์ในเขตเหมืองแร่ เมืองโบรินนาจ เขาได้มีปากเสียงกับนักเทศน์อาวุโสเมื่อเขาได้มอบเสื้อผ้า อาหาร และทรัพย์สินของทางโบสถ์ให้กับคนงานเหมือง และเขาก็โดนขับไล่ออกจากการเป็นผู้ช่วยในที่สุด

น้องชายของวินเซนต์ ชื่อ ธีโอ แวนโก๊ะ เป็นผู้ประสบความสำเร็จในการขายผลงานศิลปะ เขาได้มาเยี่ยมพี่ชายของเขาและช่วยเขาให้หลุดพ้นจากวังวนของความทุกข์ ธีโอแนะนำวินเซนต์ว่าเขาควรใช้ความรักที่มีต่อศิลปะให้เป็นประโยชน์และผันตัวเองให้เป็นนักวาดศิลปะ วินเซนต์ ผู้ที่ช่วงนั้นมีอายุ 27 ปี ได้คว้าฟางเส้นนั้นเอาไว้และเริ่มศึกษาวิธีวาดภาพจากตำราของธีโอ

หลังจากนั้นฝีมือการวาดภาพของเขาได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เขาได้สร้างผลงานเอกชิ้นแรกชื่อ “The Potato Eaters” แต่ในทางตรงกันข้าม ความสัมพันธ์กับครอบครัวของเขาเริ่มย่ำแย่ลง เขาเริ่มมีปากเสียงกับพ่อของเขา และเมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตอย่างกระทันหันด้วยโรคหัวใจ แม่และน้องสาวของวินเซนต์ได้กล่าวว่าวินเซนต์คือต้นเหตุที่ทำให้พ่อของเขาเสียชีวิต

วินเซนต์ได้ย้ายออกมาจากเมืองบ้านเกิดของเขาหลังการตายของพ่อ เขาอาศัยเส้นสายของธีโอในการหาที่อยู่ในภายในกรุงปารีส แต่ถึงกระนั้นวินเซนต์ก็ถูกดูแคลนจากศิลปินรอบข้าง จนกระทั่งธีโอได้รับมอบหมายจากบริษัทของเขาให้เป็นผู้รับซื้องานศิลปะสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์ สิ่งนี้ทำให้ธีโอได้กลายเป็นบุคคลที่ศิลปินทุกคนต้องให้ความสนใจ และวินเซนต์ผู้เป้นพี่ชายของธีโอก็ได้รับผลดีจากเหตุการณ์นี้ด้วย ในช่วงเวลา 3 เดือนที่ธีโอและวินเซนต์ได้อยู่ร่วมกันเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยงานเลี้ยงงานสังสรรค์ท่ามกล่างหมู่นักวาดศิลปะ แต่ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา การร่วมงานสังสรรค์อย่างต่อเนื่องทำให้สุขภาพของธีโอย่ำแย่ลง และฝีมือการวาดของวินเซนต์หยุดพัฒนาในจุดๆ นั้น มันทำให้วินเซนต์ต้องตัดสินใจเดินทางลงทางใต้เพื่อค้นหาทัศนียภาพที่เขาเคยพบเห็นจากม้วนภาพที่มาจากประเทศญี่ปุ่น

วินเซนต์ได้เดินทางมายังเมืองอาร์เลสในช่วงฤดูหนาว และเมื่อหิมะเริ่มละลาย ดอกไม้และพรรณพืชเริ่มเติมสีสันให้กับทัศนียภาพ วินเซนต์ได้ตกผลึกไอเดียในการวาดภาพในแบบฉบับของเขา ซึ่งเป็นแบบฉบับของลายเส้นที่ใช้ในภาพวาดต่างๆ ที่ทำให้เขามีชื่อเสียง เขาได้นำเอาลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวดัตช์ที่เขาได้ซึมซับในช่วงที่เขาอาศัยอยู่ในกรุงปารีส มาผสานกับศิลปะที่เขาได้เรียนรู้จากภาพวาดของชาวญี่ปุ่น

วินเซนต์ได้วางแผนและเช่าห้องสตูดิโอเพื่อให้เหล่าศิลปินจากกรุงปารีสสามารถมาเข้าร่วมได้ สตูดิโอดังกล่าวตั้งอยู่ที่บ้านที่ทาสีเหลืองทั้งหลัง ศิลปินที่ให้ความสนใจและเข้าร่วมมีเพียง ปอล โกแกง ผู้เดียวเท่านั้น ในช่วงแรกความสัมพันธ์ของศิลปินทั้งสองไปได้ด้วยดี แต่แล้วพวกเขาก็เริ่มมีความเห็นที่ขัดแย้งกัน คืนวันหนึ่งหลังจากที่พวกเขาได้ทะเลาะกัน วินเซนต์ได้เฉือนหูซ้ายของเขาและมอบเป็นของขวัญให้กับโสเภนีคนโปรดของเขา โกแกงได้เดินทางออกจากเมืองอาร์เลสภายในวันรุ่งขึ้น และวินเซนต์ก็ได้ถูกส่งไปอยู่ที่สถานกักกันผู้มีอาการทางจิต เขาใช้เวลาอยู่ในนั้น 2 สัปดาห์ หลังจากนั้น 1 เดือนอาการทางจิตของเขาได้กำเริบอีกครั้ง เขาจึงเดินทางไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลโรคจิตเซนต์เรมี่ด้วยตัวเอง เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลถึง 1 ปี

เมื่อวินเซนต์ออกมาจากโรงพยาบาล เขาได้เดินทางกลับขึ้นมาทางเหนือ เขาต้องการอยู่ใกล้ชิดกับธีโอ แต่ไม่ชอบความวุ่นวายของปารีส เขาจึงเลือกหมู่บ้านที่มีบรรยากาศเงียบสงบอย่าง โอแวร์ซูร์อัวส์ (Auvers-sur-Oise) ที่อยู่ห่างจากปารีส 1 ชั่วโมง เมืองนี้เป็นหมู่บ้านที่ดึงดูดศิลปินเพราะพวกเขาต้องการเดินตามรอยเท้าของ ชาร์ล-ฟร็องซัว โดบีญี อีกเหตุผลหนึ่งที่เขามายังเมืองนี้เป็นเพราะ นายแพทย์ ปอล กาแช ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาอาการทางจิตของศิลปิน และเป็นผู้ที่ให้การสนันสนุนเหล่าจิตรกรหน้าใหม่ในกรุงปารีส

ในช่วงแรกวินเซนต์ดูเหมือนกับว่าเขาจะอยู่ได้ด้วยดีในหมู่บ้านโอแวร์ซูร์อัวส์ เขาอุทิตเวลาของเขาให้กับการสร้างผลงานและเชื่อมความสนิทสนมกับนายแพทย์กาแช แต่ถึงกระนั้นเขาเองก็ยังมีความกังวลหลายอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น สถานะทางการเงิน สุขภาพ น้องชาย ลูกของน้อง และการใช้ชีวิตที่อ้างว้างของเขา ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนายแพทย์กาแชก็เริ่มเสื่อมถอยลง ภายในระยะเวลา 10 สัปดาห์หลังจากที่เขาได้มายังหมู่บ้านโอแวร์ซูร์อัวส์ เขาได้วาดภาพรวมทั้งสิ้น 70 ภาพ เขามาถึงที่โรงแรมเลอวัวร์ในคืนวันอาทิตย์พร้อมกับแผลฉกรรจ์ที่ท้อง วินเซนต์กล่าวว่าเขายิงตัวเอง แต่ผู้คนต่างพากันตั้งคำถามเมื่อพวกเขาพบว่าอุปกรณ์วาดรูปและปืนได้หายไปจากสัมภาระของวินเซนต์ เขาเสียชีวิตในสองวันให้หลังโดยมี ธีโอ น้องชายของเขาอยู่เคียงข้าง

 

อ่านเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่

Brad’s Status หนังเพ้อ ที่ชวนให้เราตั้งคำถามกับตัวเอง

Wonder หนังที่บอกทุกคนว่าเวลาและความรักมีค่า

Wind River หนังที่ดูแล้ว หนาวไปถึงขั้วหัวใจ

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up