เตนล์ – ชิตพล หนุ่มไทยคนล่าสุดในค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ระดับโลก
ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าสัมภาษณ์นี้อาจมีให้อ่านแบบพอหอมปากหอมคอ อย่างที่รู้กันว่าเมื่อเครื่องบินแลนดิ้งถึงเมืองไทย ภารกิจของศิลปินจากแดนไกลก็ต้องเริ่มต้นทันที จากเช้าถึงเย็น จากงานนั้นต่องานนี้ เพราะฉะนั้นการบริหารเวลาในการทำงานจึงสำคัญที่สุด
เป็นความภาคภูมิใจของ สุดฯ ที่ได้กางแขนกว้างๆ ต้อนรับ เตนล์ – ชิตพล ลี้ชัยพรกุล หนุ่มเลือดไทยที่ไปร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกของวง NCT (เอ็นซีที) บอยแบนด์น้องใหม่ไฟแรงจากเอสเอ็มเอนเตอร์เทนเมนต์ ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่จากเกาหลี ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมหนุ่มน้อยคนนี้ถึงได้ใจแฟนคลับ รอยยิ้มและความสุภาพอ่อนโยนคือไมตรีที่หยิบยื่นให้ง่ายที่สุด และหนุ่มน้อยคนนี้ยังมีอย่างเต็มเปี่ยมแม้ในวันที่มีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ ใครหลงรักเขาอยู่ อยากบอกว่าพวกคุณรักคนไม่ผิดจริงๆ
อยากทราบความรู้สึกตอนนี้ที่ได้กลับเมืองไทยในฐานะศิลปินเต็มตัว
อย่างแรกเลยคือดีใจมากครับที่ได้เดบิวต์เป็นศิลปินอย่างเต็มตัว ตอนยังเป็นเอสเอ็มรุกกี้ (SMRookies) ผมเคยมาเมืองไทยครั้งหนึ่งแต่เป็นในฐานะพรีเดบิวต์ ตอนนั้นก็มีความสุขเหมือนกัน แต่ครั้งนี้สิ่งที่ดีที่สุดคือการได้มาพร้อมกับเพื่อน NCT และได้เจอแฟนๆ เลยรู้สึกดีใจมาก
ตอนอยู่เกาหลี เวลาคิดถึงเมืองไทยมีวิธีแก้ให้หายคิดถึงอย่างไร
ถ้ามีเวลาว่างผมก็จะไปร้านอาหารไทย กินอาหารไทยครับ หรือไม่ก็คุยโทรศัพท์กับคุณแม่และเพื่อนๆ ช่วงนั้นภาษาเกาหลียังไม่แข็งแรงเท่าไร การสื่อสารก็เลยยากนิดหนึ่ง พูดอังกฤษได้กับคนที่สามารถพูดได้ แต่ก็ไม่เยอะ ถ้าเหงามากๆ ผมก็จะคุยกับคุณแม่แทน
กินอาหารไทยคลายเหงาได้ด้วย
ใช่ครับ แต่อาหารไทยก็ต้องที่เมืองไทยอร่อยที่สุดแล้วครับ (ยิ้ม)
อย่างที่ทราบกับว่าการมาเป็นศิลปินได้อย่างทุกวันนี้เพราะว่าเตนล์ได้เลือกเอง เล่าให้ฟังถึงเส้นทางกว่าจะมายืนตรงนี้ให้ฟังหน่อยสิครับ
ตอนปี 2013 ทางเอสเอ็ม (S.M. Entertainment) มาเปิด S.M. Entertainment Global Audition ที่เมืองไทย ผมกับเพื่อนๆ ได้ยินข่าวคิดว่าลองดูดีกว่าก็เลยไปสมัคร ผมชอบเต้นอยู่แล้ว ตอนออดิชั่นพอเขาเปิดเพลงผมก็เต้นๆ ส่วนตอนร้องก็ร้องเพลงที่ผมเตรียมมาจากบ้านเอง ผมเลือกเพลงภาษาอังกฤษเพราะถนัดกว่า ตื่นเต้นมากเพราะเป็นความฝันตั้งแต่เด็กที่อยากเป็นศิลปินด้านการร้องการเต้นที่เกาหลี ตอนนั้นเป็นช่วงเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าไม่ได้ออดิชั่นความฝันอาจจะหยุดอยู่แค่ตรงนั้นแล้วไปเรียนต่อ มันเลยเหมือนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะทำ ถ้าผมได้รับคัดเลือกก็สามารถต่อความฝันของตัวเองไปได้ แต่ในที่สุดผมก็ผ่านการออดิชั่น แล้วได้เป็นเด็กฝึกที่เอสเอ็มครับ
ตอนนั้นถ้าออดิชั่นไม่ผ่านแล้วต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย อยากเรียนต่อด้านไหนครับ
ผมอยากเรียนด้านดีไซน์ เกี่ยวกับวาดรูป อาร์ต ผมเป็นคนชอบด้านการถ่ายภาพอยู่แล้วครับ
ตอนทราบว่าผ่านการออดิชั่นรู้สึกอย่างไร
ตบหน้าตัวเองหลายครั้งมาก (หัวเราะ) แทบไม่เชื่อครับ ดีใจมาก แล้วก็คุยกับคุณพ่อคุณแม่เยอะมาก เพราะการที่เราจะไปอยู่ต่างประเทศไปเป็นศิลปินที่ประเทศอื่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถามคุณพ่อคุณแม่ว่าท่านคิดเห็นอย่างไร “ผมอยากทำอย่างนี้นะ แม่กับป๊าคิดยังไง” แม่กับป๊าก็บอกว่าทำตามสิ่งที่อยากทำ “ถ้าเตนล์คิดว่าดีก็ทำตามสิ่งที่ตัวเองชอบเลย”
มีลังเลไหมครับว่าไปดีหรือไม่ไปดี
ผมรอมานานมาก เป็นความฝัน จึงไม่ได้ลังเลอะไรทั้งนั้น แต่ก็เป็นห่วงเรื่องภาษา อย่างที่บอกว่าตั้งแต่เด็กผมอยู่กับครอบครัวมาตลอด จึงกังวลอยู่สองเรื่องคือการต้องห่างจากครอบครัวและเรื่องภาษา ส่วนเรื่องวัฒนธรรมคิดว่าอย่างไรก็ไปเรียนรู้ได้อยู่แล้ว
ตอนนั้นพูดภาษาเกาหลีได้มากน้อยแค่ไหน
ไม่ได้เลยครับ พูดได้แค่คำว่า “อันยองฮาเซโย” กับ “คัมซาฮัมนีดา” แค่สองคำนี้ (หัวเราะ)
รู้สึกว่าการเรียนภาษาเกาหลียากหรือง่าย
สำหรับคนที่เริ่มเรียนคงรู้สึกเหมือนกันว่าทำไมภาษาเกาหลีง่ายขนาดนี้ เรียนแป๊บเดียวก็อ่านได้หมดเลย คุณอาจจะไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร แต่อ่านได้ นั่นคือความง่ายตอนเริ่มต้น แต่หลังจากนั้นมันจะเป็นเรื่องของการเรียงประโยค เรียงคำ ยกตัวอย่างคำว่า “ผมไปกินข้าว” ในภาษาไทย ถ้าเป็นภาษาเกาหลีจะเรียงเป็น “ผมกินข้าวไป” สลับกัน ตอนแรกผมงงมาก สิ่งที่ทำให้ติดขัดช่วงแรกคือการเรียงประโยคนี่แหละ อย่างที่สองคือภาษาเกาหลีมีคำศัพท์ที่คล้ายกัน เสียงไม่เหมือนกันแต่ความหมายคล้าย เช่นคำว่า Fresh ภาษาอังกฤษมีแค่คำเดียว แต่ของภาษาเกาหลีมีคำอธิบายคำนี้อยู่ประมาณ 5 คำ เลยยาก
เล่าให้ฟังหน่อยสิครับว่า ต้องฝึกฝนตัวเองอย่างไรบ้างเพื่อเป็นศิลปิน
ต้องซ้อมร้องเพลง ซ้อมเต้น มีทั้งซ้อมเดี่ยวและซ้อมเป็นกลุ่ม การเป็นทีมต้องสนิทกับเมมเบอร์ทุกคน มีอะไรก็คุยกัน เรื่องนี้เป็นอะไรที่ซิมเปิ้ลมาก เขาเรียกว่าอะไรนะ…การใช้ชีวิตร่วมกัน จุดนี้ก็ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง
“ตอนอยู่เมืองไทยเราสามารถทำอะไรตามที่ตัวเองชอบได้ แต่การไปอยู่ตรงนั้นต้องรู้จักกฎระเบียบ เรื่องนี้ทำให้ตัวผมเองก็มีวินัยมากขึ้น”
เคยรู้สึกท้อไหมครับ
น่าจะเป็นเรื่องปกติของเด็กฝึกทุกคน คือมีความเหนื่อย แต่ตัวผมเองก่อนจะเข้ามาที่เอสเอ็มผมรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร “ผมต้องการแบบนี้ ผมอยากเป็นแบบนี้” พอท้อเมื่อไหร่ผมก็จะคิดถึงเหตุผลว่าทำไมถึงมาที่นี่ แล้วก็จะ “โอเค ไปต่อได้แล้ว”
ตารางชีวิตแต่ละวันของเตนล์เมื่ออยู่ที่ค่ายต้องทำอะไรบ้าง
ก็ไม่มีอะไรมากครับ มีซ้อมร้อง ซ้อมเต้นตามตาราง กำหนดมาตั้งแต่เช้าถึงกี่โมงก็ทำตามนั้น แต่ในช่วงเวลาว่างก็เป็นฟรีไทม์ จะพักผ่อนหรือซ้อมก็ได้ สำหรับคนที่เป็นชาวต่างชาติก็อาจจะไปเรียนภาษาเกาหลี เป็นเรื่องปกติ บางครั้งก็เรียนภาษาจีน ภาษาอังกฤษ แล้วแต่คนไป
พูดถึงวง NCT หน่อยสิครับ
NCT ย่อมาจาก Neo Culture Technology สมาชิกในวงก็สนิทกันทุกคน เพราะรู้จักตั้งแต่เดบิวต์เป็นเอสเอ็มรุคกี้แล้ว
คนที่ผมสนิทที่สุดคือพี่จอห์นนี่ ตอนมาอยู่ที่เกาหลีผมยังพูดภาษาเกาหลีไม่ได้ พูดได้แต่ภาษาอังกฤษ พี่จอห์นนี่พูดภาษาอังกฤษได้ เพราะเขาเป็นลูกครึ่งเกาหลี – อเมริกัน เลยสนิทกัน เวลาเหนื่อยหรือท้อผมจะคุยกับเขาเยอะมาก ไปเที่ยวด้วยกันบ่อย มีอะไรก็จะเปิดใจคุยกับเขา แต่คนอื่นในวงก็นิสัยดี อย่างแจฮยอนก็สดใสร่าเริง เขาเป็นน้องเล็กก็จะขี้แกล้งและขี้อ้อนหน่อย ส่วนดงฮยอคเราอายุเท่ากันแต่เขาฉลาดมาก จะคอยดูแล คอยเตือน ถ้าผมทำอะไรผิดเขาก็จะบอกว่าสิ่งนี้ไม่ควรทำ
ปกติทำอะไรในวันว่างครับ
ที่ค่ายเขาจะมีให้เรียนเต้น เรียนร้องเพลง เรียนภาษา เวลาว่างผมก็จะไปทบทวนสิ่งที่เรียนมาเหล่านี้ ซ้อมร้องซ้อมเต้นเพิ่ม หรือไม่ก็พักผ่อนอยู่ที่บ้าน ถ้าออกไปข้างนอกส่วนมากจะไปกินข้าวที่ร้านอาหาร ไม่ว่าจะร้านอาหารไทย เกาหลี หรือญี่ปุ่น ผมเป็นคนชอบกินครับ (ยิ้ม)
ถ้าให้แนะนำที่เที่ยวในเกาหลีแบบว่าไปแล้วประทับใจแน่นอน
ผมชอบรีแล็กซ์ คือไปแล้วไม่ต้องทำอะไรเยอะมาก ถ้าเป็นคนที่ชอบแบบเดียวกับผมก็แนะนำให้ไปที่ฮันกัง มีสวนสาธารณะที่สามารถนั่งชมแม่น้ำได้ ซื้อของมากินอย่างพวกไก่ทอด นั่งชมวิวรับลม ที่นั่นอากาศดีมากครับ
ทราบว่ารักการผจญภัย เล่าถึงทริปที่ประทัปใจให้ฟังหน่อยสิครับ
ผมชอบตอนมาเมืองไทยเพื่อถ่ายรายการ NCT Life in Chiang Mai (รายการเรียลิตี้ของเอ็นซีที) ไปเที่ยวเชียงใหม่กับเมมเบอร์ ได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งขี่ช้าง ไปไหว้พระ ไปเที่ยวไนท์ซาฟารี เล่นการละเล่นไทยโบราณ จริงๆ ผมก็เคยเล่นอะไรพวกนี้มาก่อน แต่ได้ทำกับเมมเบอร์รู้สึกสนุกกว่า
อะไรคือสิ่งที่ชอบทำเวลากลับมาเมืองไทย
อย่างแรกคือไปเจอครอบครัวก่อน คุยกับน้องสาวเพราะสนิทกันมาก ช่วงที่ไม่ได้เจอกันพอได้เจอก็มีเรื่องมาแชร์ “มีอะไรอัพเดตไหม” น้องก็จะเล่าให้ฟัง น้องสาวกับผมอายุห่างกันประมาณ 3 ปีครับ
ถ้าถามถึงเคล็ดลับความหล่อและการดูแลตัวเอง
(ยิ้มเขินๆ) ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองหล่อเลยครับ คิดว่าตัวเองเป็นคนหน้าตาธรรมดา แล้วก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการดูแลตัวเองมากมาย ผมใช้ชีวิตปกติเลย แต่ที่สำคัญคือต้องพักผ่อนให้เป็นเวลา ดื่มน้ำเยอะๆ ผมว่าการดื่มน้ำสำคัญที่สุด
ย้อนกลับไปตอนแรก ตื่นเต้นไหมครับที่ได้อยู่ร่วมค่ายกับศิลปินดังอย่างวง EXO ,Girl’s Generation รวมถึง Super Junior
รู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากครับ ที่ผมไปที่เอสเอ็มก็เพราะชื่อนชอบรุ่นพี่ๆ ไม่ว่าจะซูเปอร์จูเนียร์ เอ็กโซ รวมถึงหลายๆ คน
มีคนไหนไหมที่ชอบเป็นพิเศษหรือแอบเป็นแฟนคลับเขาอยู่เหมือนกัน
คงจะเป็นพี่ๆ วงชายนี (SHINee) และซูเปอร์จูเนียร์ ผมรู้จักเกาหลีก็เพราะพี่ซูเปอร์จูเนียร์และเพลง Sorry Sorry ที่ดังมากในเมืองไทย ตอนนั้นผมยังไม่ชอบการเต้นการร้อง แต่พอได้ฟังเพลงของเขาก็เริ่มสนใจและใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการมาเป็นศิลปินที่เกาหลี
พูดถึงความน่ารักของศิลปินแต่ละคนที่เคยเจอในค่ายหน่อย
คงเป็นตอนที่ผมไปออกรายการ Hit The Stage ซึ่งเป็นรายการเต้นที่เกาหลี ผมได้ออกกับพี่แทมินวงชายนี ตอนนั้นผมยังไม่สนิทกับพี่แทมินมาก แต่ตอนออกรายการด้วยกันเขาดูแลผมดีมาก ให้คำแนะนำ มาชม “เต้นเก่งมากเลย พยายามทำต่อไปนะ ไม่ต้องกลัว ทำเต็มที่” ตั้งแต่นั้นก็รู้สึกประทับใจเขา
เชื่อเรื่องโชคชะตาไหมครับ
เชื่อทั้งเรื่องของโชคชะตาและการลงมือทำด้วยตัวเองครับ
ที่พูดถึงเรื่องนี้เพราะอยากถามว่า ระหว่างโชคชะตากับความพยายาม คิดว่าอย่างไหนที่ทำให้เตนล์มาถึงจุดนี้ได้
ผมว่า 50 – 50 ถ้าเชื่อเรื่องโชคชะตาเยอะไป เราก็จะไม่ทำอะไรเลย คือรอให้เวลานั้นมาถึงอย่างเดียว ในชีวิตเราต้องมีความพยายามด้วย ตอนนี้ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ คิดว่ายังต้องไปอีกไกลครับ
ถ้าในวันนั้นไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเเอง คิดว่าตอนนี้จะทำอะไรอยู่
คงเรียนในมหาวิทยาลัย เรียนคณะที่ชอบคือใช้ชีวิตแบบนักศึกษาคนหนึ่ง อาจจะอยู่ที่เมืองไทยหรือต่างประเทศก็ได้
อยากให้ฝากอะไรถึงเด็กไทยคนอื่นๆ ที่มีความฝันเหมือนกันหรืออยากมายืนอยู่ในจุดที่เตนล์ยืนอยู่
ตอนนี้เตนล์ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ มองว่ายังเป็นแค่การเริ่มต้น และตัวเตนล์เองคงยังไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบอกคนอื่นได้ขนาดนั้น แต่สำหรับน้องๆ ที่อยากมาเป็นศิลปินในค่ายที่เกาหลี ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรก็อย่าท้อ อย่ายอมแพ้ พยายามให้เต็มที่ ถ้ามีโอกาสไปออดิชั่นแล้วได้รับเลือกก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็อย่าท้อ เพราะเราได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว
ถ้าระยะทางสู่ความฝันมันยาวประมาณ 1,000 กิโลเมตร คิดว่า ณ ตอนนี้ ตัวเองเดินทางมาถึงจุดไหนแล้ว
10 ก้าวครับ (หัวเราะ) หรือไม่ก็ 5 ก้าวนี่แหละ พวกเรายังเดบิวต์ได้ไม่ถึง 1 ปีเลย ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมาย เรายังไม่ได้เรียนรู้อะไรที่เกี่ยวกับด้านบันเทิงจนครบ ยังต้องพยายามให้มากกว่านี้ นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ทราบว่ามีแฟนคลับบางคนไปเรียนภาษาไทยเพราะเตนล์เลย
อย่างแรกเลยต้องขอบคุณแฟนคลับต่างชาติทุกคนที่รักผม แล้วก็รักภาษาไทย ผมรู้ว่าการเริ่มต้นเรียนภาษาไทยไม่ได้ง่าย แต่เขาก็พยายามต้องขอบคุณมากครับ
ฝากอะไรถึงพวกเขาหน่อยสิครับ
ถึงแม้ว่าพวกเราเอ็นซีทีจะยังเดบิวต์ได้ไม่นาน แต่แฟนๆ ก็ให้ความสนใจ มาเป็นกำลังใจให้และคอยติดตาม ขอบคุณที่รักพวกเรา พวกเราจะตั้งใจทำงานให้ออกมาดีครับ
THERE’S SOMETHING ABOUT HIM
>> คนที่คิดถึงมากตอนนี้
ครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ ญาติๆ ทุกคน น้องสาว แล้วก็น้องหมาครับ เตนล์เลี้ยงหลายพันธุ์ทั้งยอร์คเชียร์เทอร์เรีย ชิวาว่า เฟรนช์บลูด็อก
>> อยากกินที่สุดตอนนี้
ก๋วยเตี๋ยวเรือ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ
>> อยากไปที่สุดในประเทศไทย
สมุยครับ เป็นคนชอบไปทะเลอยู่แล้ว ถ้ามีโอกาสก็อยากไปอีก
>> ภาพที่ชอบวาด
แนวขาวดำครับ ช่วงแรกๆ ขี้เกียจลงสีเลยใช้ปากกาสีดำวาด แต่พอวาดไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าปากกาสีดำให้ความรู้สึกและบอกอะไรกับคนที่ดูภาพได้มากกว่า ภาพที่ผมวาดจะเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกในขณะนั้นว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่
>> สีที่ชอบ
สีแดงกับสีดำ
>> หนังล่าสุดที่ได้ดูมาแล้วชอบ
La La Land ครับ เพราะเกี่ยวกับดนตรีด้วย
>> คำอุทานเวลาตกใจ
Oh My God !!!
>> ของ 3 อย่างที่พกไว้ในกระเป๋าสตางค์ (ยกเว้นเงิน)
ภาพครอบครัว บัตรประชาชน แล้วก็บัตรเครดิต
>> คนที่โทร.หาบ่อยที่สุด
ผู้จัดการครับ
>> นักร้องคนโปรด
พี่แทมิน วงชายนี เขาเต้นเก่งแล้วก็ร้องเพลงได้ดีด้วย ในอนาคตผมก็อยากเป็นให้ได้แบบเขา
>> หนังสือเล่มโปรด
ผมชอบดูหนังสือภาพถ่ายที่มีข้อความบอกว่าตอนถ่ายภาพช่างภาพรู้สึกอย่างไร หรือไม่ก็หนังสือกลอนแบบสั้นๆ
เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ
วุธ อนุวัติ ผู้จัดคอนเสิร์ตที่มีทั้งคนรักและเกลียด