1.นาข้าวข้างตึกใหญ่ นาข้าวแสนไร่ใน กทม.
ท่ามกลางตึกระฟ้า การจราจรคับคั่ง ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งยังคงนั่งคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ยังมีคนในอีกมุมหนึ่งของกรุงเทพฯตื่นแต่เช้ามารับแสงแดด ให้อาหารสัตว์ รดน้ำต้นไม้ ไปจนถึงทํานาแปลกแต่จริง กรุงเทพฯเล็กๆที่เรารู้จักกันนั้น มีพื้นที่การเกษตรกว่า180,000ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ทํานาถึง120,000ไร่เลยทีเดียว โดยหนองจอกครองแชมป์พื้นที่ทํานามากที่สุ60,000ไร่ รองลงมาคือพื้นที่คลอง-สามวา ลาดกระบัง และมีนบุรีตามลําดับ โดยมีครอบครัวในกทม.ที่ยึดอาชีพเกษตรกรกว่า10,000รายเราพบนาข้าวยาวเป็นทาง แม้จะไม่สุดลูกหูลูกตาแต่ก็กว้างใหญ่พอจะทําให้อึ้ง เรายังคงเห็นรถเมล์สายต่างๆที่ต่างจังหวัดไม่มีวิ่งไปวิ่งมาบนท้องถนน เห็นทาวน์เฮ้าส์บ้านจัดสรรที่ตั้งอยู่ข้างๆนาข้าวหลายแห่ง ลองเหลียวมองรอบๆแล้วอดรู้สึกไม่ได้ว่า เรากําลังยืนอยู่บนสวรรค์ของกรุงเทพฯดีๆนี่เอง
2.จับแพะ!!! ที่ชุมชนมุสลิม ประชาอุทิศ 69 ทุ่งครุ
ไม่ต้องไปหาดูในคุกให้เสียเวลา(มุกนี้เสี่ยงตะรางเหลือเกิน) เพราะมีแพะร้องแบ๊ะๆ ตัวเป็นๆให้คุณได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดชนิดดึงเคราเล่นได้ เพียงแค่เดินทางไปที่“ซอยประชาอุทิศ69”เท่านั้น เพราะที่นี่ป็นชุมชนชาวมุสลิมที่เลี้ยงแพะเนื้อและแพะนมไว้สําหรับบริโภค และไม่ใช่เลี้ยงเป็นฟาร์มอุตสาหกรรมแบบในทีวี แต่เลี้ยงกันใกล้ชิดติดหลังบ้านเลยทีเดียว ชาวบ้านในพื้นที่เล่าว่า แพะที่นี่เลี้ยงง่ายๆด้วยหญ้าทั่วไป บางบ้านเคยเลี้ยงเป็นฟาร์มใหญ่หลายร้อยตัว แต่ปัจจุบันทุกครัวเรือนเปลี่ยนมาเลี้ยงแบบเศรษฐกิจพอเพียง คือเลี้ยงไว้รับประทานเอง ผลผลิตที่ได้มีการนํามาแปรรูปเพื่อส่งขาย เช่น สบู่ หรือครีมอาบน้ำจากนมแพะ สําหรับนักท่องเที่ยวสนใจสามารถขอเข้าชมได้ไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะคนที่นี่ใจดีมว้าก-ก-ก
3.หลุมหลบภัยกลางสวนสัตว์ดุสิต
ใครก็รู้ว่าที่เขาดินวนามีสารพัดสัตว์ให้ดู แต่มีกี่คนที่รู้ว่าที่นี่มี“หลุมหลบภัย”ซุกซ่อนอยู่ด้วยหลุมหลบภัยความจุ60ท่านแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นราวปีพ.ศ.2484เพื่อให้ประชาชนมาอาศัยหลบลูกระเบิดในสงครามมหาเอเชียบูรพา(แต่จากที่ไปเห็นมา คิดภาพไม่ออกจริงๆว่าจะไปม้วนตัวตีลังกาอยู่กันได้อย่างไรถึง60คน) ภายหลังสงครามสงบจึงปรับปรุงใหม่สร้างภูเขาลูกเล็กทับหลุมหลบภัยไว้เพื่อเลี้ยงเลียงผา และปัจจุบันก็ได้ปรับให้กลับมาเป็นหลุมหลบภัยที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย(ถึงขั้นใช้ได้จริง)อีกครั้ง พร้อมการจัดเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับสงครามเพื่อให้ความรู้แก่ผู้เข้าชมด้วยเตือนไว้ก่อนกันตกใจ ใครที่เพิ่งเคยลงไปเป็นครั้งแรก เขาจะมีรูปปั้นคนจําลองขนาดเท่าของจริงจัดแสดงไว้ด้วย แสงสลัวๆ มองผ่านๆแล้วเหมือนมีคนมานั่งยิ้มให้ยังไงยังงั้นเลย
4.พื้นที่แคบไม่พอยืน ที่ดินจิ๋วที่สุดในประเทศ
หากตั้งคําถามว่า คุณรู้หรือไม่ ที่ดินที่เล็กที่สุดในประเทศไทย(ที่มีโฉนด)ตั้งอยู่ตรงไหน หลายๆท่านที่หัวหมอคงวิ่งไปหน้าคอมพิวเตอร์ ใช้เวลาเสิร์ชประมาณ30วินาทีและยกมือตอบว่า อยู่รามอินทราซอย8แถวๆบางเขน แต่ถ้าถามว่าแล้วมันอยู่ตรงไหนของซอย8คงมีน้อยคนที่ตอบได้กว่า2ชั่วโมงที่ทีมงานสุดสัปดาห์ขับรถหาที่ดินที่ว่า จากการสอบถามคนร้อยละ90ตอบว่าไม่รู้จัก(แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านเอง ท่านยังตอบเรามาว่า“ไม่มีหรอก เกิดมาไม่เห็นเคยได้ยิน”) กระทั่งมีคุณพี่วินมอเตอร์ไซค์ใจดีอาสาพาไป เราจึงได้พบกับอนุสาวรีย์เล็กๆฐานเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่ในพงหญ้าเป็นอนุเสาวรีย์แกะสลักจําลองรูปโฉนดที่ดินขนาด“0.1ตารางวา”แห่งนี้ไว้ที่ดินดังกล่าวออกให้โดยสํานักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางเขนได้รังวัดเมื่อวันที่15กันยายนพ.ศ.2550ผู้เป็นเจ้าของคือ คุณศรีศักดิ์ว่องส่งสาร ซึ่งได้รับมรดกมาจากคุณแม่ถมรัตน์ ว่องส่งสาร โดยแบ่งมาจากที่ดินเดิม100ตารางวาที่คุณแม่ได้มอบให้พี่สาว ส่วนแปลงจิ๋วแห่งนี้มอบให้คุณศรีศักดิ์เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก เรื่องมูลค่าที่ดินคงไม่เท่าไร แต่มูลค่าทางใจประเมินค่ามิได้
5.ชมลิงแสมที่บางขุนเทียน
จะน่าตื่นเต้นแค่ไหน ถ้ามีสถานที่ให้คุณได้เห็นลิงตัวจริงๆนับร้อยโลดโผนโจนทะยานอย่างอิสระ และสถานที่นั้นอยู่ในกรุงเทพฯนี่เองเลียบทางด่วนหมายเลข9แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน คุณจะพบฝูงลิงแสมกว่า300ตัวปีนป่ายอย่างสนุกสนานเสรีอย่างที่ควรจะเป็น ณ“จุดชมลิงแสม บางขุนเทียน” แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งเดิมเคยเป็นถิ่นของ“คุณกะลา” ลิงแสมมือพิการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระเมตตาช่วยเหลือนําไปชุบเลี้ยงในพระราชวังดุสิต ดังนั้นนอกจากลิงน้อยที่ซุกซนที่นี่จึงมีอนุเสาวรีย์คุณกะลาอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพสวยงาม ร่มรื่น ให้เราๆท่านๆพักผ่อนหย่อนใจอย่างสบายอารมณ์ และที่สําคัญคือ เข้าฟรีจ้ะ
6.ร่มรื่น (แบบหลอน) ต้นตะเคียนวัดสุวรรณคีรี
ตะเคียนต้นใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ริมน้ำในวัดสุวรรณคีรี แม้โดยรอบจะดูร่มรื่น แต่ด้วยบรรยากาศเงียบสงบ ชวนวังเวง ทําให้เราเผลอหลุดปากเบาๆว่า“เค้ากลัว-ว-ว”ต้นตะเคียนที่มีความกว้างเกือบ5เมตรและสูงกว่า35เมตรต้นนี้อายุกว่า250ปีเดิมเป็นต้นตะเคียนคู่ แต่น้ำท่วมใหญ่ในปีพ.ศ.2538ทําให้ตะเคียนต้นหนึ่งยืนต้นตายไป จากนั้นก็มีการนําไม้จากต้นตะเคียนที่ตายมาสร้างเป็นศาลเจ้าแม่สายทองประดิษฐานไว้ใต้ต้นที่เหลืออยู่เมื่อเดินทางไปถึงเราพบแผ่นพิมพ์แผ่นหนึ่งติดอยู่ข้างศาล มีเนื้อความว่า ผู้เขียนได้ขออนุญาตพระในวัดนําเศษไม้จากต้นตะเคียนกลับไปเป็นที่ระลึก และได้ลงมือแกะสลักเป็นรูปผู้หญิง ปรากฏว่าเพื่อนบ้านหลายคนเห็นผู้หญิงเดินไปเดินมาในบ้าน พอใครร้องทักก็จะหายไป หรือมักมีผู้หญิงออกมาโบกแท็กซี่ให้ไปส่งที่วัดสุวรรณคีรี พอถึงที่หมายเธอกลับไม่ได้อยู่บนรถ ทําให้แท็กซี่แถวนี้ไม่กล้ารับใครมาส่งที่วัดสุวรรณคีรียามค่ำคืนบ่อยครั้งเข้าเขาจึงตัดสินใจนําไม้แกะสลักชิ้นดังกล่าวมาคืนให้ทางวัด บรื๋อ-อ-อ…
7.ต้นกร่างในเขตป่าช้าเก่า ชุมชนศรีสุริโยทัย
ภาพแรกที่เห็นในระยะไกลคือ ต้นไม้สูงใหญ่ขนาดตึก5ชั้นหลายต้นขึ้นปกคลุมรอบบริเวณชุมชนศรีสุริโยทัย แต่เมื่อเข้าไปใกล้เราถึงกับอุทานว่า“แม่เจ้า!” เพราะต้นไม้มองเห็นเป็นดงจากระยะไกล แท้จริงแล้วเป็นต้นไม้ต้นเดียวกันต้นกร่างอายุกว่า200ปีต้นนี้การันตีความบิ๊กด้วยรางวัลต้นไม้ใหญ่อันดับ2จากการประกวดต้นไม้ใหญ่ในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2554ที่ผ่านมาต้องใช้ผ้าแพรยาวประมาณ20เมตรถึงสามารถล้อมรอบต้นไม้ต้นนี้ได้รอบความที่ย่านนี้เคยเป็นป่าช้าเก่า เรื่องความเฮี้ยนจึงไม่ต้องพูดถึง ชาวบ้านบอกว่ามีเรื่องเล่าที่พิสูจน์ไม่ได้มากมาย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่โรงเรียนสตรี-ศรีสุริโยทัยกําลังจะก่อสร้างอาคาร จึงจําเป็นต้องตัดกิ่งใหญ่ของต้นกร่างต้นนี้ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอาเพศอะไร ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัด ทั้งคนตัดหรือบริษัทผู้รับเหมา ต่างก็ประสบเหตุขัดข้องนานัปการ ทางโรงเรียนจึงตัดสินใจตัดมุมอาคารและสร้างกําแพงหลบ เพื่อให้ต้นกร่างนี้ยืนยงอยู่นอกรั้วโรงเรียนต่อไป…ฟังแล้วขนลุก
8.ต้นฉบับ สวรรค์ของนักเล่นแผ่นเพลง
เนื้อที่ของตึก1คูหาริมคลองหลอดแห่งนี้เป็นดั่งแดนสวรรค์ของบรรดานักเล่นแผ่นเสียง ที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เป็นวันๆกับ“พี่เสือ” เซียนแผ่นเสียงเจ้าของร้าน“ต้นฉบับ”ที่คุยสนุก คอยแนะนําเรื่องแผ่นเสียงให้เราฟังได้ไม่รู้จบ จนทําให้เราเผลอคิดในใจว่า“หรือตูจะซื้อกลับไปสักเครื่องดี”คนแถวคลองหลอดรู้จักร้านแผ่นเสียงที่มีอายุกว่า27ปีนี้ดี ภายในร้านอัดแน่นไปด้วยแผ่นเสียงเก่าตั้งแต่ยุค 50จนถึงปัจจุบัน มีทั้งเพลงไทยและเพลงเทศกว่า20,000แผ่น พี่เสือบอกกับเราว่าลูกค้าเข้ามาแวะชมแวะซื้ออยู่เรื่อยๆทั้งขาจรและขาประจํา “ส่วนใหญ่ก็มาหาแผ่นเสียงหายาก ซึ่งแผ่นเสียงพวกนี้เราตามซื้อ ตามเก็บมาจากทั่วประเทศ ราคาส่วนใหญ่ก็เพียงหลักร้อยเท่านั้น แต่ถ้าเป็นระดับตํานานอย่างเดอะบีเทิลส์หรือเอลวิส ราคาจะสูงขึ้นมาประมาณหลักพัน”นอกจากนี้ที่นี่ยังมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงขาย รวมถึงรับซ่อมด้วยใครอยากลองลิ้มรสความคลาสสิกรับรองว่า“คบพี่เสือไว้” ไม่ผิดหวัง
9.ร้านตัดผมเก่าแก่กลางดงแสงสี
สําหรับคนที่มีอายุหน่อยคงจําบรรยากาศร้านตัดผมสมัยก่อนที่เรามักเข้าไปเสริมหล่อ เสริมสวยกันได้ดี(ถ้านึกไม่ออก แนะนําลองไปเปิดภาพยนตร์เรื่อง“แฟนฉัน”นั่นแล) ทั้งกลิ่นแป้งที่คุ้นเคยเสียงปัตตาเลี่ยนที่คุ้นหู แต่ปัจจุบันร้านทําผมในกรุงเทพฯได้แปรเปลี่ยนไป เกิดเป็นซาลอนที่หรูหราทันสมัย บางที่มีห้องวีไอพีสําหรับแขก บางที่มีไอแพ็ดให้ใช้ระหว่างรอ แต่ละร้านต่างก็งัดไม้เด็ดโดนใจมาดึงดูดลูกค้าอย่างไม่ขาดแล้วกลางย่านแห่งแสงสีอย่างสีลม ใกล้ๆกับซอย2เราพบบันไดทางขึ้นเล็กๆสู่ร้าน“ศาลาแดง บาร์เบอร์” ร้านตัดผมสไตล์โบราณสุดคลาสสิกที่เปิดมานานถึง45ปีแล้ว มีลูกค้าต่างชาติเข้ามาใช้บริการกันอุ่นหนาฝาคั่งจนเราประหลาดใจ เมื่อสอบถามพี่ๆช่างผมก็ได้ความว่าหลายคนเป็นลูกค้าประจํา สําหรับลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการหลายคนเข้ามาเพราะเห็นว่าแปลกและราคาไม่แพง บางคนเดินทางมาตัดที่นี่ทุกครั้งที่มาประเทศไทย ไม่น่าเชื่อเลยว่าถนนที่ค่าเช่าแพงระดับประเทศ ที่หันซ้ายก็ร้านอาหาร หันขวาเป็นออฟฟิศให้เช่า มองตรงไปมีรถไฟฟ้าเช่นนี้ จะยังมีร้านตัดผมอารมณ์น่าสัมผัสเปิดรอผู้ที่อยากรําลึกความหลังฟังเสียงปัตตาเลี่ยนกลางย่านชุมชนที่เจริญขึ้นตามยุคสมัยจนแทบมองไม่เห็นอดีต น่าเสียดายที่เพิ่งไปหั่นผมมา ไม่งั้นอยากนั่งให้คุณช่างไถหัวรําลึกอดีตสักครั้ง
10.คลังความรู้ใต้ดิน ที่หอสมุดปรีดีฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ถึงคนไทยจะอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ7-8บรรทัด(ซึ่งปัจจุบันน่าจะมากกว่านี้ เพราะเล่นเฟซบุ๊ค) แต่การมีหอสมุดอยู่ในกรุงเทพฯคงไม่แปลก แต่ถ้าห้องสมุดนั้นตั้งอยู่“ใต้ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา”ในบรรยากาศที่สวยงามล่ะ มันก็ชวนให้รู้สึกแปลกและลองไปใช้บริการสักครั้งใช่ไหมเรากําลังพูดถึงหอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ที่คุณจะพบคลังหนังสือขนาดใหญ่3ชั้นใต้ดิน ออกแบบแปลกตาด้วยการเจาะช่องโล่งไว้ตรงกลางทําเป็นระเบียงปลูกต้นไม้สําหรับออกมารับลมหรือพักสายตาได้ด้วย ซึ่งการสร้างหอสมุดไว้ใต้ดินนี้มันไม่ใช่เรื่อง่ายๆ เพราะต้องเสี่ยงทั้งภาวะความชื้นจากแม่น้ำและปัญหาเรื่องน้ำท่วมทําให้ต้องเกณฑ์คนมาช่วยกันขนหนังสือกันวุ่นวาย แต่ด้วยกฎหมายห้ามไม่ให้มีอาคารสูงในเขตพระราชวัง ประกอบกับการขยายขนาดก็ทําไม่ได้เพราะติดแม่น้ำ เมื่อต่อขึ้นข้างบนหรือขยายออกข้างไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย เจาะทะลุลงล่างไปแบบสวยๆดีกว่าหอสมุดแห่งนี้พรั่งพร้อมไปด้วยหนังสือนานาชนิด วิทยา-นิพนธ์หัวข้อต่างๆ มีห้องสําหรับติวหนังสือหรือประชุมงาน และห้องเรวัติ พุทธินันทน์สําหรับฉายวีดิทัศน์และดูภาพยนตร์ พูดแล้วก็ง่วงนอน อยากไปงีบ เอ๊ย! ไปนั่งอ่านหนังสือหาความรู้สักครั้งจัง
11.สวยหล่อกันทั้งชุมชนบนถนนร้านทำผม
เกิดอาการลนจนทําอะไรไม่ถูกเมื่อเดินทางมาย่านสี่แยกบ้านแขก แถวเชิงสะพานเจริญพาศน์ แล้วนึกอยากเข้าร้านทําผมขึ้นมา เพราะหันซ้ายก็ร้านบาร์เบอร์ หันขวาก็ซาลอน ตั้งอยู่เบียดเสียดกันกว่า50ร้าน บนพื้นที่เพียง1ตารางกิโลเมตร แถมพอเลือกร้านได้ก็ดันเจอร้านชื่อซ้ำๆกันเต็มไปหมด เฉพาะร้านชื่อ“ราไว”ก็ปาเข้าไป29สาขา ร้าน”ปรางค์”อีกหลายสาขาบางร้านเปิดติดกัน3-4คูหาก็มี และเมื่อสอบถามแต่ละร้านก็พบว่า จริงๆแล้วร้านที่ชื่อซ้ำๆก็มาจากเจ้าของเดียวกัน อย่างเช่นร้านราไว ก็เป็นของ“ป๋าราไว”ที่มาเปิดสาขาที่1ตรงหัวมุมสี่แยกบ้านแขก พอการค้าเริ่มเจริญรุ่งเรืองจึงเปิดสาขาใหม่เป็นราไว2ราไว3ไปเรื่อยๆ โดยให้ภรรยาและลูกๆเข้ามาดูแลกว่าจะรู้ตัวอีกที“ราไว29”ก็ถือกําเนิดเสียแล้ว ซึ่งแต่ละสาขามีลูกค้าแวะเวียนมาอุดหนุนไม่ขาดสาย เพราะถนนสายนี้ติดกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสมเด็จเจ้าพระยาและมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี จึงทําให้มีร้านตัดผมอื่นๆผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ไม่เพียงแต่ร้านทําผมเท่านั้น ยังมีร้านขายผลิตภัณฑ์ด้านเส้นผมและสปาอีกมากมาย ทําให้ถนนเส้นนี้กลายเป็นถนนแห่งการเสริมสวยที่คุณไม่ควรพลาดที่จะไปลองเบิ่ง เอ๊ย! ใช้บริการ
12.กาลหว่าร์ โบสถ์โปรตุเกสริมแม่น้ำเจ้าพระยา
กรุงเทพมหานครคือแหล่งรวมของคนหลายเชื้อชาติ ทั้งชาวจีนที่เยาวราช ชาวอินเดียที่พาหุรัด หรือจะเป็นชาวญี่ปุ่นที่สุขุมวิท และยังมีอีกหลายเชื้อชาติที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานนานแล้วอย่างชุมชนชาวโปรตุเกสที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ อีกทั้งยังสร้างสถาปัตยกรรมที่สวยงามทิ้งไว้ให้เราได้ชม นั่นคือโบสถ์กาลหว่าร์(กาลหว่าร์หมายถึงสถานที่ตรึงกางเขนพระเยซู)ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา“โบสถ์กาลหว่าร์”สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2434เป็นวัดคาทอลิกเก่าแก่มาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมเรียกค่ายแม่พระลูกประคํา โดยเมื่อครั้งอยุธยา คริสตังชาวโปรตุเกสกลุ่มที่หลบหนีทหารพม่าและไม่ยอมรับอํานาจการปกครองของบาทหลวงชาวฝรั่งเศสได้พากันอพยพลงมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา และตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่สถาปัตยกรรมสไตล์การก่อสร้างแบบนีโอกอทิกที่อยากนําเสนอ แต่เราอยากบอกอย่างบ้านๆว่า ตอนนี้โบสถ์กาลหว่าร์ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเรียบร้อยแล้ว สถานที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์มากมายระหว่างไทยกับโปรตุเกสแห่งนี้ช่างสวยงามโดดเด่นต่างจากสิ่งก่อสร้างโดยรอบ จนคุณอาจเผลอไปทําพาสปอร์ตก่อนเข้าโบสถ์เพราะคิดว่าอยู่ต่างประเทศทีเดียว…อยากมาดูแล้วใช่ไหมล่ะ
13.ทุกสิ่งอันงานไม้ ที่ถนนสายไม้ ประชานฤมิตร
จู่ๆก็นึกถึงคําขวัญของกรุงเทพมหานครที่คุณโน้ส-อุดมเคยพูดไว้ในเดี่ยว9“แวะพาหุรัดซื้อผ้าสุดคุ้ม ศูนย์ประชุมไปขายหนังสือ ขายมือถือไปมาบุญครอง ขายทองไปเยาวราช ขายชาติไป…” คิดแล้วก็จริงตรงที่กรุงเทพฯยังมีแหล่งซื้อ-ขายของเฉพาะมากมายที่เราอาจไม่รู้จักและสําหรับผู้ที่สนใจงานไม้ เฟอร์นิเจอร์ หรืองานแกะสลัก ถนนสายไม้ประชานฤมิตร คือถนนสายหนึ่งที่คุณไม่น่าพลาดเดิมพื้นที่แถวนี้เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ใช้เป็นเส้นทางล่องแพซุง แพไม้จากภาคเหนือสู่เมืองกรุงสมัยรัชกาลที่1มีชาวจีนที่มีฝีมือทางด้านงานไม้ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐาน โดยยึดอาชีพแกะไม้ทําเฟอร์นิเจอร์จนกลายเป็นแหล่งชุมชนค้าไม้นานาชนิดจากทั้งไม้คนละป่าและไม้ป่าเดียวกัน(บรึ๋ย) และกลายเป็นศูนย์รวมเครื่องเรือนเฟอร์นิเจอร์สั่งทําและงานแกะสลักไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในปัจจุบัน
14.ไตรโกล สนามฟุตบอลรูปสามเหลี่ยมที่เดียวในโลก
เคยคิดเล่นๆว่า ถ้ามีใครออกแบบสนามฟุตบอลเป็นรูปอื่นๆที่ไม่ใช่สี่เหลี่ยม คงโดนด่าว่าเพี้ยน แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆแล้วในประเทศไทย แถมเป็นที่แรกในโลกอีกต่างหาก ว่าแต่มีใครอยากลงเล่นสนามฟุตบอลรูปสามเหลี่ยมที่ต้องเล่นทีละ3ทีมบ้างสนามดังกล่าวตั้งอยู่ที่ลานจอดรถสยามเซ็นเตอร์ชั้น10อย่าคิดว่าเป็นลานจอดรถแล้วจะดูโกโรโกโสนะเพราะเขากั้นอาณาเขต จัดสถานที่อย่างดี อุปกรณ์ใหม่กิ๊ก มีร้านขายน้ำ และโซฟาสําหรับนั่งคอยคิว รวมถึงระบบเซ็นเซอร์เมื่อลูกบอลเข้าประตู และหน้าจอแอลซีดีควบคุมโดยคอมพิวเตอร์คอยบอกสกอร์ สําหรับสาวๆที่นี่มีอาหารตาเป็นหนุ่มน้อยหน้าใสและหนุ่มใหญ่ในสภาพเหงื่อโซมกายเป็นของแถมเจ้าสนามฟุตบอลสามเหลี่ยมนี้คิดค้นโดยคุณเฉลิมเกียรติ เลาหัตถ-พงษ์ภูริ ซึ่งมีการทดลองเล่นกันตั้งแต่ปี 2546 และมีการจดลิขสิทธิ์ในชื่อ “สนามไตรโกล”เมื่อปี 2550โดยกติกานั้นแตกต่างจากฟุตบอลปกติเล็กน้อย คือต้องเล่นพร้อมกันสามทีม ทีมละ2คน โดยที่สามารถยิงเข้าประตูไหนก็ได้(นอกจากประตูตัวเอง) และนําประตูที่ยิงได้มาหักลบกับประตูที่เสียไป ใครที่มีผลต่างของประตูมากที่สุดเป็นฝ่ายชนะ โดยประตูจะตั้งอยู่ที่แต่ละมุมของสนามสามเหลี่ยมนั่นเอง
15.กินลมชมอดีตกับ Segway Tour
ยอมรับความจริงกันเถอะว่า การท่องเที่ยวเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทยไม่ได้แอ้มเงินในกระเป๋าของคนส่วนใหญ่แน่นอน แต่ถ้ามันมีจุดขายอย่างอื่นล่ะ เรากําลังพูดถึงยานพาหนะแสนแพง ที่ต่อให้มีกะตังค์ ร้อยละ99ก็ไม่คิดจะซื้อ ขอแนะนําให้คุณรู้จัก“Segway Tour” บริการทัวร์สถานที่สําคัญรอบเกาะรัตนโกสินทร์ โดยมี“SegwayPT”เป็นพระเอกของงาน เจ้า SegwayPT นี้คือเครื่อง2ล้อที่ขับเคลื่อนด้วยระบบการบาลานซ์ของร่างกาย เพียงแค่คุณเอนหน้าหรือเอนหลัง เครื่องก็จะทําการคํานวณองศาของหลังและแล่นไปในทิศทางที่ต้องการ ด้วยสโลแกนที่ว่า“เพียงขึ้นบันไดเป็น คุณก็ใช้SegwayPT”ได้ คุณอิทธิชัย เบญจธนสมบัติ เจ้าของSegwayTourเล่าให้เราฟังว่า “การท่องเที่ยวหลักๆมี2แบบ คือการเดินสํารวจและการนั่งรถ ถ้าเราเดินสํารวจก็ต้องเสียเวลาเป็นวันๆเหงื่อไหลไคลย้อยกันเป็นแถว แต่หากนั่งรถ สบายก็จริง แต่จะไม่ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด Segway Tourจึงเหมือนเป็นบริการที่ย่นเวลา โดยได้ระยะทางและความใกล้ชิดมากขึ้นสนนราคาก็มีหลายราคา ทั้งแบบ3ชั่วโมง3,500บาท ชั่วโมงครึ่ง2,000บาท ซึ่งถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับสุดยอดประสบการณ์ ถ้าถามว่าสนุกขนาดไหน ขอบอกว่าเราแทบอยากขโมยกลับบ้าน ใครสนใจสามารถมาติดต่อได้ที่อาคารท่ามหาราชนะจ๊ะ
เรียบเรียง : Pitchaya/Photo : Gai,Himmy,Beer