“เอสเธอร์-ปั้นจั่น” เล่าถึงหนัง รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน Love Battle เบื้องหน้าสนุก เบื้องหลังน่ารัก

Alternative Textaccount_circle
event

สุดสัปดาห์มีนัดคุยกับ เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา และ ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโณทัย พระเอกนางเอก จากภาพยนตร์เรื่อง รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน Love Battle ถึงการทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังสุดสนุก รวมถึงประสบการณ์อกหักที่ไม่ค่อยได้เล่าให้ใครฟัง 

ก่อนจะไปคุยกับพระเอก ลองอ่านเรื่องย่อ ภาพยนตร์กันก่อนสัั้นๆ

“แทน” (ปรมะอิ่มอโณทัย) นักคณิตศาสตร์ประกันภัยผู้หาค่าสถิติประกันภัยที่คำนวณแม้กระทั่งความสัมพันธ์ของคู่รักหลังจากถูกแฟนสาวของเขาหักหลังอย่างเจ็บปวดก็เกิดปิ๊งไอเดียประกันภัยรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า“Love Insurance” หรือกรรมธรรม์ประกันรักแท้ 2 ปีทวีทรัพย์ซึ่งเป็นแบบประกันที่รับประกันเงินคืน 100% พร้อมดอกเบี้ยอีก 30% สำหรับคู่รักผู้ถือกรมธรรม์หากพวกเขาไม่เลิกกันภายในเวลา 2 ปีหลังจากเซ็นสัญญา

หลังจากเปิดตัวแนวคิดประกันรูปแบบดังกล่าว ก็ได้รับความสนใจมากมาย แต่คณะกรรมการของบริษัท ต้องการให้เขาค้นหาข้อมูลเพื่อพิสูจน์ว่าผู้ถือกรมธรรม์ส่วนใหญ่จะเลิกกันในไม่ช้าก่อนจะถึงเวลา 2 ปีตามสัญญา โดยมี“จี๊ด”(เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา) อดีตพนักงานบริษัทจัดหาคู่ ที่ถูกย้ายมาอยู่ในทีมของ “แทน” ช่วยรวบรวมข้อมูลให้ แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เชื่อว่าความรักไม่สามารถคำนวณหรือวัดได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อของ “แทน” ในขณะที่พวกเขาออกเดินทางเพื่อค้นหาคำตอบว่าผู้ถือกรมธรรม์จะเลิกกันหรือไม่ การต่อสู้ของพวกเขาที่มีเดิมพันเป็นศักดิ์ศรีก็ได้เริ่มต้นขึ้น

บทและคาแรคเตอร์ในหนังเรื่อง รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน  “Love battle” 

เอสเธอร์: รับบทเป็นจี๊ด ผู้หญิงที่มองโลกในแง่บวก เชื่อมั่นว่าความรักมีอยู่จริง สวยงาม และไม่สามารถตีค่าเป็นตัวเลขได้ จี๊ดทำงานในบริษัทจับคู่ หน้าที่การงานดี มีชีวิตที่ล้อมรอบไปด้วยความรักที่ดีและสวยงาม จากการได้ช่วยจับคู่ให้ลูกค้าสำเร็จได้แต่งงานกันหลายคู่ แต่จู่ๆ งานแต่งของลูกค้าที่เธอจับคู่ให้ ก็ถูกพังลงโดยผู้ชายที่ชื่อ แทน ซ้ำร้ายหลังจากเหตุการณ์นั้น เธอยังต้องถูกส่งให้ไปร่วมทำงานกับแทนอีก และต้องพิสูจน์ว่ารักแท้มีอยู่จริง

ปั้นจั่น: รับบทเป็นแทน นักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่เชื่อในเหตุผลและหลักการ แตกต่างกับจี๊ดโดยสิ้นเชิง เมื่อก่อนเคยเชื่อมั่นในความรัก แต่ผ่านประสบการณ์เลวร้ายมา โดนผู้หญิงหลอก บอกเลิก เลยทำให้มีปม แล้วเป็นคนที่ค่อนข้างคิดอะไรมีแบบแผน คิดเป็นตัวเลขหมด ก็เลยคิดประกันเกี่ยวกับความรักขึ้นมา แต่แล้ววันหนึ่งจี๊ดก็เริ่มเข้ามามีส่วนในชีวิตเขาและค่อยๆ ท้าทายกับความเชื่อของเขามากขึ้นเรื่อยๆ

ในหนังเห็นเป็นคู่กัดกัน นอกจอเป็นยังไงบ้าง

ปั้นจั่น: นอกจอเราไม่ได้กัดกันเหมือนในหนังนะครับ (หัวเราะ)  ก็คุยกันในเรื่องของการทำงานว่าจะเล่นยังไง แสดงออกมายังไง

เคยร่วมงานกันมาก่อนไหมคะ

เอสเธอร์: นี่เป็นครั้งแรกของหนูที่ร่วมงานกับพี่ปั้นค่ะ

ก่อนเจอกันคิดว่า ต่างฝ่ายต่างเป็นยังไง แล้วพอร่วมงานกันเป็นอย่างที่เราคิดไหม

เอสเธอร์: ตอนแรกที่หนูเห็นพี่ปั้นจั่น หนูคิดว่าพี่ปั้นจั่นเป็นคนที่สุขุมนุ่มลึก น่าจะเป็นคนนิ่งๆ

ปั้นจั่น: จริงเหรอ?

เอสเธอร์: จริง!

เอสเธอร์: พอเจอกันทำงานไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าพี่เขาเป็นคนตลก ขี้เล่น อยู่ดีๆ นึกจะพูดอะไรก็พูด เราไม่รู้ว่าบางทีพูดกับเราหรือเปล่า อยู่ดีๆ ก็โพล่งขึ้นมาเฉยๆ เลยเราเลยเดาอารมณ์เขาไม่ถูก แต่ว่าน่ารักดีค่ะ ร่วมงานกันสนุกดี แฮปปี้ที่จะได้ไปทำงานในทุกๆ วันค่ะ

ปั้นจั่น: ก่อนหน้าที่จะเจอกันก็เห็นว่าเป็นนักแสดงที่น่ารัก เล่นละครดี พอมาร่วมงานกันจริงๆ เขานิ่งกว่าที่ผมคิดไว้ ตอนนี้เริ่มสนิทกันประมาณหนึ่ง รู้สึกว่าเขาพูดกับผมมากขึ้น สองคิวแรกๆ เขาจะนั่งนิ่งๆ แล้วก็จะมองเหมือนคิดอยู่ในใจว่าพี่นี่เป็นบ้าอะไร พอถามว่าเอสไม่ขำเหรอ? เขาก็ตอบว่า ต้องขำด้วยเหรอคะ? พอสนิทก็เริ่มรู้แล้วว่าเขาก็เป็นคนติ๊งต๊องเหมือนผมนั่นแหละ แต่อาจจะแสดงออกต่างกันเฉยๆ

เอสเธอร์ต๊องยังไงคะ?

ปั้นจั่น: ความติ๊งต๊องเขาจะแสดงออกทางโซเชียล ใน Tiktok น่ะครับ ลองไปดู

เอสเธอร์: มีอยู่วันนึงที่รอเข้าฉาก หนูก็ไม่อะไรทำเลย

 

นั่งเล่น Tiktok ทำหน้ายิ้ม ทำหน้าแอ๊บแบ๊ว พี่ปั้นชอบถามว่าทำอะไรอ่ะ?

ปั้นจั่น: มีอยู่วันนึงเห็นเขากระพือแขนเพราะรักแร้เปียก ผมก็เฮ้ย! เอส ทำได้เหรอ?

ปั้นจั่น: ผมก็ไม่คิดว่า นางเอกจะมีมุมนี้

เอสเธอร์: 555

 

ทำไมถึงตัดสินใจมาเล่นหนังเรื่องนี้

เอสเธอร์: หนูได้อ่านบท หนูรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ดี เป็นเรื่องของความรัก ที่มีเรื่องของหน้าที่การงาน การแข่งขัน เรื่องของกรมธรรม์เข้ามา หนูรู้สึกว่ามันน่าสนใจดีค่ะ

ปั้นจั่น: การตัดสินใจง่ายมาก พอเราไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่สิ่งที่เราจะเลือกก็คือ บท ผู้กำกับ บริษัทที่ทำ พอขึ้นชื่อมาว่าเป็นพี่โจ้ เป็น CJ MAJOR ร่วมกับทาง Workpoint ทุกอย่างมาตฐาน ให้พร้อมที่เราจะต้องทำ โชคดีด้วยซ้ำที่เขาเลือกเรา เพราะว่าทำให้เราได้ทำงานกับคนที่มีประสบการณ์ กับทีมโปรดักชั่นระดับอินเตอร์ เรื่องของมุมมอง วิธีการตัดต่อต่างๆ เราจะเห็นว่าดีเทลเขาละเอียดกว่าภาพยนตร์ไทย ฉะนั้นไม่ยากในการตัดสินใจเลยเพราะผมชอบเล่นหนังอยู่แล้ว

ก่อนหน้านี้เราจะคุ้นเคยกับปั้นจั่นที่เล่นหนังแนวอินดี้ บู๊ ดราม่า พอต้องมาเล่นหนังคอมเมดี้ต้องปรับตัวเยอะไหม

ปั้นจั่น: คอมเมดี้เเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับผม ผมเคยเล่นในละคร ผมรู้สึกว่ามันเครียดมาก แต่มันก็ออกมาดี เครียดเพราะตอนถ่ายเราไม่รู้สึกตลกเลย เราจะถามตลอดว่าพี่มันตลกเปล่า สนุกเปล่า กังวลเรื่องจังหวะกลัวจะไม่ตลก ผมได้ทริคจากการเล่นละคร คือผมก็เล่นไปเลยเราอาจจะรู้สึกไม่ตลก แต่เดี๋ยวเขาไปตัดต่อ จังหวะมันก็จะได้เอง ถ้าเรายิ่งไปพยายามให้มันตลก บางทีเราอาจจะตลกคนเดียว แต่คนดูไม่ตลกด้วยเราไม่รู้ว่าเซนส์ของคนเราเข้าใจหรือตลก เหมือนกันหรือเปล่า

หนังเรื่องนี้หลักๆ คือพูดถึงเรื่องความรัก ถ้าถามถึงประสบการณ์ความรัก หรืออกหักตอน เป็นยังไงกันบ้าง

ปั้นจั่น: สำหรับผมอาการอกหักอยู่ไม่เกิน 2 วัน ผมร้องไห้คืนเดียวแล้วมันจะตัดครับ เหมือนมันเจ็บมากทำให้เราตัดง่าย เวลาผมอกหักถ้าผมโดนทิ้งหรือยังรักใครอยู่ผมก็จะง้อ แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่น่าจะสำเร็จเราก็จะไม่ตื้อ ก็จะถามเขาว่ายังรักผมไหม ยังอยากอยู่กับผมไหม ถ้าไม่ จบคือจบ เลิกคือเลิก เราไม่ใช่คนที่จะไปยื้อใครไว้ถ้าเขาไม่ได้รักเราแล้ว

ผมว่าความรักแบบที่เธอไปมีใหม่เราจะเจ็บน้อยมาก จบง่ายมาก ทุกครั้งที่เกิดขึ้นกับเรา จะทำให้เราพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เราอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นมากๆ ทำให้เขารู้สึกเสียดายที่เลิกกับเราไป

เอสเธอร์: ส่วนมากจะเป็นการผิดหวังแบบเด็กๆ ที่เกิดขึ้นตอนประมาณมัธยมต้น ตอนนั้นคุยๆ กันแล้วหนูย้ายโรงเรียน ก็ห่างกัน เลยเลิกคุยกัน เป็นปัญหาเรื่องระยะทาง จะมีแค่คิดถึง แต่พอเจอเพื่อนใหม่เราก็จะลืมประสบการณ์เรื่องความรักอกหักแบบจริงจังยังไม่เคยมี

ความเชื่อในเรื่องความรักของทั้งคู่เป็นยังไง

ปั้นจั่น: ความรักต้องเหมือนห้องแอร์ เหมือนอะไรที่มันเย็นๆ คือเราจะอยู่กับอะไรที่มันเย็นๆ ได้นาน แต่ถ้าเราอยู่ในซาวน่า อยู่ในไฟ มันอาจจะสนุกแต่มันอยู่ได้แป๊ปเดียว บางทีการอยู่กับอะไรเย็นๆ ช้าๆ มันอาจจะน่าเบื่อแต่อยู่ได้เรื่อยๆ แบบนี้ตอบโจทย์มากกว่ากับมุมมองเรื่องความรักในวัย 32 ปี

เอสเธอร์: ความรักสำหรับหนูเชื่อว่าความรักจะไปได้ด้วยดีอยู่ที่คน 2 คนร่วมมือซึ่งกันและกัน ไม่เห็นแก่ตัว คิดถึงใจเขาใจเรา มันก็จะสามารถดำเนินไปได้เรื่อยๆ ไปได้ด้วยดีด้วยค่ะ

ฝากถึงหนังเรื่องนี้หน่อยค่ะ

เอสเธอร์: อยากให้ดูเรื่องนี้มากๆ เลยค่ะ จะได้แง่คิดในเรื่องของความรักในหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นความรักของเด็ก วัยกลางคน ผู้สูงอายุ เราจะได้เห็นในหลายๆ แง่มุม ในเรื่องทัศนคติเรื่องของความรัก หนูว่าพล็อตเรื่องแปลกใหม่ น่าตื่นเต้น ครบรสมีทั้งสนุก ซึ้ง เศร้า หัวเราะ มีหมดค่ะ ก็อยากให้ไปดูค่ะ

ปั้นจั่น: โปรเจคนี้เป็นโปรเจคที่ทางไทยร่วมกับทาง CJ MAJOR ของเกาหลี เป็นการร่วมทุนกัน ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับตลาดภาพยนตร์ไทย นอกเหนือจากความบันเทิงอยากให้มาดูโปรดักชั่นและวิธีการทำงานด้วยสมัยนี้ในการดูหนังเรื่องหนึ่งอยากให้ดูให้ลึกซึ้งมากกว่าเดิมก็อาจจะได้อะไรกลับไปมากขึ้น

รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน

 

Text: pondpaphat  Photo: Pannawat

 

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up