Big ass
อ๊อฟ: บิ๊กแอสอยู่ในวงการมา 20 ปี พวกเรามีจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ การเปลี่ยนนักร้องนำ ซึ่งเราได้เจ๋งมาเป็นนักร้องคนใหม่ ตอนนั้นอะไร ๆ ก็ใหม่ไปหมดสำหรับพวกเรา ช่วงแรกที่เจ๋งเข้ามา เราให้เขาลุยทุกรูปแบบเพื่อให้มีประสบการณ์หลากหลาย ไม่ว่าจะงานเข้าห้องอัด คอนเสิร์ตเล็ก คอนเสิร์ตใหญ่ งานบุญ งานฝังลูกนิมิตไปหมด ไม่ใช่เพื่อเขาอย่างเดียว แต่เพื่อพวกเราอีก 4 คนด้วย เพราะช่วงที่หานักร้องใหม่ เราไม่ได้เล่นคอนเสิร์ตมานาน ไม่รู้เลยว่าแฟนเพลงจะยังตอบรับเราอยู่มั้ย แต่ปรากฏว่าแฟนเพลงยังเปิดรับเราอยู่ในรูปแบบใหม่ เป็นอะไรที่พวกเราทั้งดีใจและโล่งใจ
กบ: เหมือนเจ๋งพาเราไปเปิดโลกใหม่ด้วย ทำให้เราได้แฟนเพลงรุ่นใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น สิ่งที่เจ๋งมีคือ เขาสื่อสารกับเด็กรุ่นใหม่ได้ดี ช่วงแรกมันยากสำหรับเจ๋งมากครับ เหมือนคนที่อยู่ในมุมมืดมาตลอด อยู่ดี ๆ ก็ถูกกระชากมาอยู่ท่ามกลางแสงไฟ เขาต้องใช้เวลาปรับตัวและเรียนรู้อย่างหนัก ผ่านมา 3 ปีแล้ว เจ๋งนิ่งขึ้นและแข็งแรงในเรื่องความคิด ตอนนี้พวกเราทั้งสี่คนต่างหากที่ต้องตามเจ๋งให้ทัน
โอ๊ค: เขาไม่ได้เตรียมตัวมาอยู่ตรงนี้เลย ตอนนั้นเราอาจไม่ได้มองในมุมเขาเท่าไร เพิ่งเข้าใจทีหลังว่า กว่าเขาจะทำได้ดีขนาดนี้ เขาต้องแบกรับอะไรมากมายทั้งความเครียดและความกดดัน
เจ๋ง: คำว่า “บิ๊กแอส” มันยิ่งใหญ่มากสำหรับผม เราเกิดความลังเลว่า เลือกถูกหรือเปล่า แต่มาคิดดี ๆ เมื่อเรามีโอกาส เราเลือกแล้ว ต้องลุยให้เต็มที่ต้องขอบคุณพี่ ๆ ในวงที่คอยสอนผมทุกเรื่อง พวกเราเจอกันทุกวัน ฝึกหนักตัวต่อตัวเหมือนเข้าค่ายเลย ให้การบ้านไปฝึกร้องเพลง ฝึกสกิลการร้อง การออกเสียงควบกล้ำ ร เรือ ล ลิง
กบ: นอกจากสกิลในด้านต่าง ๆ สิ่งแรกที่สำคัญกว่าคือ เราพาเจ๋งมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ทำงานด้วยกัน พาออกงาน เหล่านี้สำคัญมากสำหรับการหล่อหลอมสมาชิกเข้าด้วยกัน มันไม่มีประโยชน์เลยถ้าได้คนเก่งมาแต่คุยกันไม่รู้เรื่อง อยู่บนรถตู้ด้วยกันไม่ได้ เจ๋งเป็นคนจิตใจดีนะ เขาไม่มีพิษมีภัยกับใคร ซึ่งพอจูนเข้ากันได้แล้วก็เกิดเป็นอีพี “แดนเนรมิต” เราหยิบเครื่องดนตรีมาเล่นกัน แล้วก็ได้เพลง แดนเนรมิต ขึ้นมาโดยที่ไม่ได้คาดหวังมาก่อน
เจ๋ง: ผมจำเวทีแรกที่ขึ้นได้อย่างเต็มตัวคือ คอนเสิร์ต “มันไก่มาก 2” ซึ่งเป็นงานใหญ่มาก ผมมีอาการประหม่าตั้งแต่ในห้องซ้อม พอถึงวันจริงอยู่หลังเวทีมันลนลานมาก เครียด กลัวไปหมด ไม่มีสมาธิเลยครับ วงอื่นที่เขารู้ว่าบิ๊กแอสกลับมาพร้อมนักร้องใหม่ ต่างก็มายืนเชียร์ ยืนดู ไม่ว่าจะพี่ป๊อด โมเดิร์นด็อก วงซีล กลายเป็นยิ่งกดดัน เล่นเสร็จผมร้องไห้เลย
หมู: ไม่ใช่แค่เจ๋ง พวกเราทุกคนก็พลาด กลองตั้งตำแหน่งผิด สายแจ็กหลุด เจ๋งวิ่งพล่านเลย บิ๊กแอสไม่ได้เล่นคอนเสิร์ตมานาน ต้องเจอคนดูสามหมื่นคน มันลนและตื่นเต้นไปหมด
กบ: 12 ปีที่อยู่จีนี่มา เราเชื่อในสัญชาตญาณว่า ที่นี่จะเป็นค่ายที่เราทำงานได้อย่างที่คิด ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา คำสัญญาของพี่นิคคือ “เรื่องเพลงพี่ไม่ยุ่งนะ แต่เรื่องภาพปล่อยพี่” ผ่านมาจนวันนี้คำสัญญาก็ยังเหมือนเดิมขอบคุณผู้ใหญ่และทีมงานที่คอยสนับสนุน ผลักดันภาพและตัวตนของเราให้ชัดเจน รวมถึงแบกรับและปกป้องเราในวันที่เจอมรสุม จีนี่จึงไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่เหมือนบ้านหลังใหญ่ที่มีสมาชิกอยู่พร้อมหน้ากันอย่างอบอุ่น และอีกกลุ่มคนที่ต้องขอบคุณคือแฟนเพลงที่ผูกพันกันมานาน เราผ่านช่วงเวลาดี ๆ ผ่านเรื่องร้าย ๆ มาด้วยกัน แต่เขาก็ยังอยู่ ยังแวะเวียนมาเจอ มาเชียร์ให้กำลังใจเสมอ เชื่อว่าแฟนบิ๊กแอสก็ยังคงเตรียมตัวมาเจอเราที่ g19 ซึ่งพวกเราปล่อยอัลบั้มเต็มแล้ว ก็จะมีทั้งเพลงใหม่และเพลงคุ้นหูมาให้ฟังเพียบครับ
The Yers
โบ๊ท: ก่อนจะเซ็นสัญญาเข้าจีนี่ พวกเราเข้ามาคุยกับพี่นิคที่ตึกแกรมมี่เรื่อย ๆ วันแรกที่เจอกันบรรยากาศก็สบายๆ เป็นกันเอง พี่นิคบอกว่าชอบวงเรานะอยากได้วงรุ่นใหม่มาอยู่ด้วยกัน
อู๋: ผู้ใหญ่ในค่ายรู้สไตล์การทำงานของเดอะเยอร์ส ว่าเราทำเองจบงานเอง ก่อนเซ็นก็คุยกันเข้าใจว่าเราทำงานสไตล์ไหน เราทำอะไรได้บ้างแค่ไหน พอเคลียร์ก็เซ็นเลย ซึ่งผมตกใจมากว่ามีคนให้ความสนใจ และแชร์ข่าวที่วงเรา
มาอยู่จีนี่เยอะมาก อาจเพราะว่าภาพเราตอนอยู่ค่ายเดิมมันชัดมาก คือเป็นวงนอกกระแส พอมาอยู่ที่นี่ก็มีกระแสจากแฟนเพลงว่า อย่าเปลี่ยนแนวเพลง อย่าเปลี่ยนตัวตนนะ คนก็มองว่า พอเรามาอยู่จีนี่เดี๋ยวเราก็เปลี่ยน ซึ่งก็เปลี่ยนจริง ๆ แต่พวกเราเปลี่ยนด้วยอายุที่มากขึ้นครับ เหมือนงานศิลปะที่มันเปลี่ยนไปตามอายุคนที่ทำ เราไม่ได้เปลี่ยนตามบริษัทที่อยู่ ที่นี่ไม่มีใครบอกให้เปลี่ยนแนวเพลง เปลี่ยนคาแร็กเตอร์ เปลี่ยนเสื้อผ้า จีนี่สนับสนุนและพัฒนาสิ่งที่เราเชื่อให้งานเราไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ มันเป็นการทำงานที่แฮ็ปปี้มากครับ
โบ๊ท: 3 ปีที่อยู่จีนี่ประทับใจตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ พี่ ๆ ศิลปินทุกคนที่เรา เจอต้อนรับเราอย่างอบอุ่น ทุกคนบอกว่าชอบเพลงเรานะ เพลงดีนะ
อู๋: ปีแรกที่เขามาอยู่ เราได้เจอโปรเจ็กต์ใหญ่เลย คือ g16 เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ได้มาถ่ายทีเซอร์และเอ็มวีเปิดตัวคอนเสิร์ต ได้อยู่ในวงล้อมไอดอลของคนทั้งประเทศอย่างพี่ตูน บอดี้สแลม พี่ป้าง พี่ต้า พาราด็อกซ์ ฯลฯ และปีนี้เรากำลังจะมีคอนเสิร์ต g19 สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์อะเร้นจ์เพลง แสงสุดท้าย ของบอดี้สแลม ซึ่งเป็นเพลงธีมในครั้งนี้ วันที่ทำเพลงไม่คิดอะไรหรอก แต่วันเข้าห้องอัดผมรู้สึกว่า “นี่กูทำอะไรอยู่เนี่ย”
(หัวเราะ) คือผมต้องนั่งคุมนักร้องนำของทุกวง ต้องสั่งพี่ป้าง พี่ปั๊ป พี่หนุ่ม กะลา บอกว่า “ร้องอีกรอบครับ” ที่สำคัญคุมร้องพี่ตูนซึ่งเป็นเจ้าของเพลงนี้ด้วย
วันเข้าห้องอัดจริงพี่ ๆ ทุกคนน่ารัก ให้ความร่วมมือดีมากเลยครับ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นครอบครัวจีนี่ที่อบอุ่นมาก ทำให้หายเครียดไปเลย หน้าที่นี้ในคอนเสิร์ตนี้เหมือนเป็นบททดสอบของผม ที่จะก้าวเข้าสู่อายุเลข 3 เลยครับ เพราะเป็นงานที่ใหญ่มาก ๆ ที่คนทั้งประเทศจะได้ฟังครับ
ต่อ: g19 เป็นป็นคอนเสิร์ตใหญ่ที่สุดในชีวิตในสถานที่ที่ใหญ่มากของพวกเรา เป็นการรวมตัวของเพื่อน พี่น้อง ชาวจีนี่ เพื่อแฟนเพลงชาวจีนี่ เต็มที่มาก
บูม: เล่นกันหลายวงในเวลาที่จำกัด เราค่อนข้างคัดเพลงโดน ๆ ไปให้แฟนๆ ได้สนุกกัน และแน่นอนครับ เรามีเพลงใหม่ไปให้ฟังด้วย
Instinct
ปอ: เส้นทางดนตรีตลอด 20 ปีตั้งแต่สมัยวงเกิร์ล เราเจอทั้งมุมดีและโหดร้าย มันมีการแข่งขันต่อสู้มากมาย บางช่วงเราดังมาก บางช่วงเราแผ่วก็ต้องยอมรับความจริง เราผ่านมาหลายยุค ตั้งแต่เทปผีซีดีเถื่อน ดาวน์โหลดฟรี ยิ่งอยู่นานก็ต้องยิ่งอดทน สิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับเราว่าจะสู้มั้ย จะไปต่อมั้ยพวกเราโชคดีที่มีค่ายจีนี่ที่พร้อมสนับสนุน มีแฟนเพลงรักและคอยอุ้มชูมาตลอด
ปาล์ม: ขอบคุณจีนี่ที่เข้าใจว่าเราคิดอะไร เข้าใจในสิ่งที่เราเป็น คือเราค่อนข้างมีความขวางโลกในบางเรื่อง หัวดื้อบ้าง โดยเฉพาะนักร้องนำ (หัวเราะหึหึ) ผมก็เคยอยากเปลี่ยนตัวเองไปตามแพตเทิร์นที่คนชอบนะ แต่ก็ทำไม่ได้ได้แค่ปรับ แต่เปลี่ยนเลยไม่ได้จริง ๆ เดินคนละครึ่งทางแล้วกัน ทำให้เพลงแมสขึ้นเพื่อสื่อสารกับคนฟังได้ง่าย แต่ยังคงความเป็นอินสติงค์อยู่ 20 ปีผ่านไปแฟนเพลงเก่าตั้งแต่สมัยวงเกิร์ลก็ยังอยู่ แฟนเพลงใหม่เป็นนักเรียน ม.3 ม.4ตัวเล็กตัวน้อยก็เพิ่มมากขึ้น ทุกวันนี้แฟนเพลงบางคนเรียกผมว่าลุงกันแล้ว“คิดถึงลุงจัง เมื่อไรจะมาเล่นที่นี่บ้าง”
ปอ: จาก g16 เมื่อ 3 ปีก่อน มาถึง g19 มีการเปลี่ยนสมาชิกใหม่ คือเราได้แชมป์มาเป็นมือกีตาร์ให้วง
แชมป์: ดีใจที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของวงอินสติงค์ พี่ปอกับพี่ปาล์มเป็นรุ่นพี่ที่น่ารัก ทำงานด้วยความสนุกครับ
ปอ: พอรู้ว่า g19 จะเล่นที่ราชมังคลาฯ เราแอบช็อกนิดหนึ่ง เพราะสถานที่ใหญ่มาก เป็นเอ๊าต์ดอร์ เล่นยากกว่าในฮอลล์ครับ เราต้องเอาให้อยู่มันต้องเล่นใหญ่จัดเต็มเพื่อส่งไปให้ถึงคนดูครับ
พลพล พลกองเส็ง
“ย้อนไปอายุ 19 ปี ผมเพิ่งจบ ม.6 เข้ากรุงเทพฯ มาจากหนองคาย ตอนนั้นอาชีพผมคือขี่วินมอเตอร์ไซค์ อยู่ที่รามคำแหง 53 เป้าหมายของการเข้ากรุงเทพฯคือ สอบเข้าดุริยางค์ทหารบก ระหว่างรอสอบก็ขี่วินหารายได้เสริม เป็นช่วงที่ต่อสู้เพราะที่บ้านมีหนี้ พอเข้าดุริยางค์ทหารบกได้ก็เล่นดนตรีกลางคืน และมีโอกาสได้เข้ามาสกรีนเทสต์ที่แกรมมี่ “ผมเริ่มต้นชีวิต เริ่มสร้างตัวจากการเป็นนักร้องก็ที่จีนี่ วันแรกที่มาพลพลยังไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรเลย ไม่รู้ว่าต้องร้องเพลงอะไร พี่นิคเป็นคนสร้างพลพลขึ้นมา ผ่านมานานประมาณ 17 ปี
“วันแรกที่เข้ามาจีนี่จำได้เลยว่า พี่ปั๋ง - ประกาศิต ชวนให้มาเทสต์เสียง ผมไม่รู้จักหรอก พี่นิคเป็นใคร เห็นผู้ชายคนหนึ่งอาแปะ ๆ หน่อยยืนอยู่หน้าห้อง มารู้ทีหลังว่าอาแปะ คนนั้นคือเจ้าของค่ายจีนี่ (หัวเราะ) เทสต์เสียงเสร็จ พี่นิคก็ยังไม่ได้ตัดสินใจครับ ว่าจะให้เราอยู่ค่ายไหน พี่ปั๋งบอกว่าเดี๋ยวจะติดต่อกลับไป ซึ่งเป็นประโยคที่เราได้ยินมาตลอด ในการออดิชั่นตามร้านต่าง ๆ มันก็คือการเงียบหายนั่นแหละ ผมเลยไม่หวังอะไร
“ผมกลับไปเล่นดนตรีเหมือนเดิมผ่านไป 7 - 8 วัน พี่ปั๋งเรียกให้เข้ามาเซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัดของแกรมมี่ การเล่นดนตรีกลางคืนของผมจึงลดลง เพื่อมาเตรียมฝึกเป็นศิลปินรายได้เราก็ลดลงไปด้วย พี่นิคสงสารที่รายได้ไม่พอใช้ เลยให้ผมทำงานพิเศษในอราทิสของแกรมมี่ ด้วยการเป็นครูสอนร้องเพลง คุมร้องน้องๆ ที่เข้ามาเทสต์เสียง ทำอยู่ตรงนั้นเกือบปี พ่วงกับการเป็นศิลปินฝึกหัด ตอนนั้นคิดหลายอย่างว่า เราอยู่ตรงนี้จะได้ออกเทปมั้ย หรือจะได้เป็นครูสอนร้องเพลงอย่างนี้ต่อไป จริงๆ แล้วตอนนั้นเริ่มอยากกลับไปเล่นดนตรีกลางคืนเต็มตัว เพราะรายได้เยอะ เลี้ยงดูตัวเองและส่งที่บ้านได้ ช่วงจังหวะรออยู่นั้นก็มี ไท ธนาวุฒิ วางแพลนจะออกเทปกับจีนี่ เห็นแล้วก็ได้แรงบันดาลใจว่า คนนี้ออกเทปได้ กูก็ต้องได้แหละวะ (หัวเราะ)
“เพลงแรกของผมในฐานะนักร้องเดี่ยวคือ แฟนจน ๆ ท่อนฮุกคือ ‘อยากมีแฟนจนๆ มั้ยครับ’ ส่งไปคลื่นไหนก็ไม่ค่อยมีใครเปิด กรีนเวฟ ฮอตเวฟในตึกแกรมมี่ยังไม่ค่อยจะได้ เพราะมันกึ่งๆ แนวเพื่อชีวิต ไม่ใช่แนวเขาเลย กระแสเงียบมาก จนส่งเพลงที่สอง คนเดินถนน คราวนี้เหมือนจุดพลุเพลงดังมาก จากนั้นก็มีเพลง ขอให้โชคดี, ห่วงใย, รักเธอจะตาย 4 เพลง ที่ปล่อยขึ้นชาร์ต 1-2-3-4 ด้วยกันมาเลย เป็นประวัติศาสตร์มากที่เรา มี 4 เพลงดัง แต่ไม่มีใครรู้จัก ไม่เคยมีใครเห็นหน้าพลพล จนพี่นิคจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวศิลปิน
“ผมอยู่วงการเพลงมานาน ไม่เคยรู้สึกเบื่อ ไม่เคยอยากหยุด แม้ยุคสมัยและการเติบโตในวงการจะไม่เหมือนเดิม แต่การร้องเพลงยังเป็นงานที่เราทำแล้วมีความสุข ผมโชคดีที่มีเพลงที่ยังติดหู การได้ร้องเพลง คนเดินถนน ให้คนรุ่นใหม่ ๆ ฟังถือเป็นการแนะนำตัวเรา แนะนำเพลงเหมือนทุกครั้งเราได้ร้องเพลงใหม่ไปในตัวครับ”
หนุ่ม กะลา – ณพสิน แสงสุวรรณ
“ในบรรดาศิลปิน ผมอยู่จีนี่ เรคคอร์ดสนานที่สุด คือ 18 ปี ศิลปินก่อนผม ที่ดัง ๆ ก็จะมี สุเมธแอนด์เดอะปั๋ง วงวาสนา ไท ธนาวุฒิ เรียกว่าผมเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่จากรุ่นแรก ๆ จีนี่ไม่ใช่แค่ค่ายเพลง แต่เหมือนครอบครัว “ก่อนหน้านี้เมื่อปีก่อน ผมรู้สึกเดินต่อในวงการไม่ไหว ด้วยเพราะเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา เราวงแตกจากนั้นก็ฟอร์มวงใหม่ แต่ก็ทำไปแบบไร้แรงบันดาลใจ ทำไปงั้น ๆ จนรู้สึกอยากเลิก และความนิยมเราก็น้อยลงกว่าเดิมมาก จนพี่นิคมาเจอผมที่หน้าค่ายแล้วพูดว่า ‘หนุ่มคนเดิมที่พี่เคยเจอมันหายไปไหนวะ คนที่เล่นคอนเสิร์ตแล้ว ถอดเสื้อลงไปหาคนดูวิ่งไปโน่นไปนี่ คนนั้นมันหายไปไหนแล้ว’ ฟังแล้วก็คิดได้ เออว่ะ!เราคนนั้นหายไปไหน คือช่วงนั้นเราหงอและนอยด์ไปหมด
“ช่วงต่อมาคือตอนเป็นนักร้องเดี่ยว ซึ่งผมไม่ค่อยเขียนเนื้อเพลงเท่าไรแล้ว เพราะด้วยยุคที่เปลี่ยนการทำเพลงต้องผ่านขั้นตอนประชุมเยอะ เรารู้สึกว่าศิลปะไม่ควรต้องอะไรขนาดนี้ พอปรับแก้ก็เสียเซลฟ์อีก เลยแต่งทำนองและดูภาพรวมอย่างเดียว “วันหนึ่งพี่นิคพูดว่า ‘ไอ้พวกที่นั่งรอปาฏิหาริย์เป็นพวกขี้แพ้เว้ย เป็นพวกเพ้อฝัน พวกนอนกระดิกเท้ารอโชคชะตา’ ฟังแล้วเหมือนถูกตบเรียกสติ จากนั้นผมก็กลับมาเขียนเพลง กระทั่งได้เพลงใหม่กลับมาส่งพี่นิค ชื่อเพลงว่า ไม่มีปาฏิหาริย์
“จีนี่เหมือนเป็นอีกหนึ่งโรงเรียนที่สอนให้ผมเข้าใจชีวิตความเป็นศิลปิน สอนให้เรียนรู้วัฏจักรของการมีชื่อเสียง ตอนอายุ 19 ออกอัลบั้มสอง เพลง ขอเป็นตัวเลือกดังมาก มีงานทัวร์คอนเสิร์ตตามจังหวัดต่าง ๆ เยอะมาก ทำให้ผมเริ่มเข้าใจวิถีของการเป็นนักร้องนักดนตรี แต่ในความดังและมีชื่อเสียงตอนนั้น พวกเราก็ยังใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้เหลิงหรือเปลี่ยนตัวเอง ยังกินข้าวแกง นั่งรถเมล์อยู่ แต่สิ่งที่มันทำให้รู้สึกพีคคือ เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตได้เจอคนดู มากมายหลายพันจนถึงหลักหมื่นคน ผมเล่นคอนเสิร์ตด้วย ความสุขและมันมาก จนวันหนึ่งสิ่งที่เราเคยมีมันหายไป ต้องยอมรับว่าใจหายเหมือนกัน แต่ผมเข้าใจนะว่าของแบบนี้มันเป็นสัจธรรม มีขึ้นก็ต้องมีลง ชีวิตการเป็นนักร้องกว่า 18 ปี ผมได้รับโอกาสดี ๆ จากคนฟังมากมาย ตั้งแต่กะลายุคแรก กะละยุคสองจนมาถึงเป็นนักร้องเดี่ยว ขอบคุณแฟนคลับทั้ง 3 รุ่นที่ทำให้ผมมีกำลังใจทำสิ่งที่รักทุกวันได้อยู่”
The Mousses
จ๊ะ: กว่าจะมาอยู่จุดนี้เราผ่านมรสุมมาหลายระลอกเหมือนกันครับ เราคิดไว้ว่าได้เข้ามาอยู่จีนี่ ค่ายที่รวมวงคุณภาพไว้มากมาย เส้นทางต้องโรยด้วยกลีบกุหลาบ มันต้องดี แต่พอได้ทำงานจริง ๆ ได้เจอโลกของความจริง มันคนละเรื่องกับที่เราฝันไว้เลย
แอร์: ปล่อยซิงเกิ้ลแรก สราญ ปรากฏว่าแป้ก เพลงไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีงานจ้างเลย ว่างมาก เลยตัดสินใจกลับไปเรียนให้จบ แล้วค่อยกลับมาลุยงานเพลงใหม่อีกรอบ ทำอัลบั้มแรกเสร็จ ก็เริ่มมีกระแสที่ดี เพราะมีเพลงฮิตเจ้าชายกับเจ้าหญิง, ..บ้างไหม จากเพลง สราญ ผ่านมา 3 - 4 ปี เลยครับกว่าจะมีงานจ้างงานแรก
จ๊ะ: อัลบั้มต่อไป เตรียมปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ เราอยากให้ลุคดูขรึมจากอัลบั้มแรก เลยไว้หนวด ปรับลุคให้ดาร์กขึ้น ปล่อยเพลง ความจริง ก็ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คิด กระแสเงียบไปเป็นปี งานจ้างเดือนหนึ่งมีแค่หนึ่งหรือสองงานเท่านั้น มีการประชุมกับผู้ใหญ่ว่าเอายังไงดี ซึ่งเราเตรียมจะปล่อยเพลงใหม่อีกเพลง คิดว่าถ้าเพลงนี้ไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าอาจจะไม่ได้ต่อสัญญากับจีนี่แล้ว เราคงไม่เหมาะกับที่นี่จริง ๆ เจ็บที่ต้องรู้ เป็นการปล่อยเพลงใหม่ที่กดดันมาก ซึ่งเพลงนี้ผมแต่งไว้เกือบ 2 ปีแล้ว ปกติเพลงของเดอะมูสส์จะเป็น เพลงที่แอร์แต่งเองร้องเอง แต่ครั้งนี้ลองเอาเพลงที่ผมเขียนดูสักตั้งว่าจะได้มั้ย ขาดเนื้อร้องไม่กี่ท่อน แอร์ก็เข้ามาช่วยเติมจนสมบูรณ์ กลายเป็นว่าเพลงนี้ดังมาก เพลงเข้าสู่ร้อยล้านวิวโดยที่เราไม่คิดว่าจะไปถึงจุดนั้นได้
แอร์: ผ่านพายุดีเปรสชั่นมาหลายระลอก ประสบการณ์เส้นทางดนตรีที่ผ่านสอนให้ผมลดกำแพงตัวเองลง เมื่อก่อน “เพลงแบบนี้ไม่ร้อง เพลงเพื่อนแต่งไม่ร้อง จะร้องเฉพาะที่ตัวเองแต่ง” วันนั้นถ้าผมไม่ลดอีโก้ลง คงไม่มีวันนี้
จ๊ะ: ผมรู้ว่าเพื่อนไม่อยากร้องหรอก มันก็มีกำแพงแหละ แต่แอร์ลดลงเยอะ แอตติจูดทุกคนในวงเปลี่ยนไป “จ๊ะเขียนมา เดี๋ยวกูร้อง” มีการปรับเข้าหากัน คุยกันมากขึ้น ทำงานเป็นระบบ แบ่งหน้าที่ชัดเจน ทำบัญชีรายรับ - รายจ่ายในวงด้วย
แอร์: จีนี่บ่มเพาะให้เราเป็นเราในวันนี้ สอนให้เรารู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ สอนให้เราเรียนรู้จากความผิด สอนให้เราโตขึ้น และที่สำคัญสำหรับอาชีพนี้ คือ สอนให้รู้ว่าการทำงานที่มีระบบนั้นดีอย่างไร
ต๋า: คอนเสิร์ต g19 ที่กำลังจะถึง พวกเราตั้งใจทำโชว์ให้ดีที่สุดตั้งแต่ทำวงมาเลย ต้องดีให้เหมาะกับความยิ่งใหญ่ของจีนี่ อยากชวนแฟน ๆ สุดสัปดาห์ ไปสนุกด้วยกัน ไม่อยากให้พลาดงานนี้เลยครับ
กวาง – ศิริศิลป์ โชติวิจิตร
“ผมเคยอยู่จีนี่เมื่อ 16 ปีที่แล้ว อยู่ 6 ปีทำถึงอัลบั้ม 3 แล้วก็ย้ายไปอยู่ค่ายอื่น เพิ่งกลับมาเข้าจีนี่ใหม่เมื่อปีก่อน ช่วงที่ Pack4 กลับมาทำคอนเสิร์ต ช่วงนั้นกำลังจะหมดสัญญากับแกรมมี่ ผู้ใหญ่ในค่ายก็ตามตัวว่าต่อสัญญาอยู่กับจีนี่แล้วกัน ผมโอเคเลย มันเหมือนกลับบ้านที่เราคุ้นเคย แต่ผมบอกพี่นิคว่า ขอทำเพลงที่ผมอยากทำจริงๆ คืออิเล็กทรอนิกส์ร็อค ซึ่งใหม่มากสำหรับเราและคนฟัง ทีแรกคิดว่าพี่นิคคงไม่น่าโอเค แต่ผิดคาด พี่นิคบอกว่าทำให้สุดไปเลยนะ อย่าครึ่ง ๆ กลาง ๆ
ย้อนไปสมัยเป็นกวาง เอบีนอร์มัล อัลบั้ม 1 - 3 เราประสบความสำเร็จมาก แล้วมันเป็นช่วงที่ผมเกรียนและดื้อมาก นึกกลับไปมองตัวเองตอนนั้นรู้สึกว่า ทำไมถึงเป็นเด็กนิสัยไม่ดีแบบนั้น ใครสั่งให้ทำอะไรผมจะทำตรงกันข้าม ผู้ใหญ่ปรามผมก็ไม่ฟัง เช่น ตอนนั้นกวางเป็นพรีเซ็นเตอร์แบรนด์หนึ่ง มีกฎว่าพรีเซ็นเตอร์แบรนด์นี้ เล่นเพลงของพรีเซ็นเตอร์แบรนด์นั้นไม่ได้ แต่มันเป็นเพลงที่ผมอยากเล่น เราไม่สนก็จะเล่น ก็เป็นเรื่องเป็นราวนะแล้วที่แย่คือ เรากลับรู้สึกสะใจที่ได้ทำอย่างนั้น
“ที่รู้สึกเสียดายมากคือ ตอนนั้นกวางเป็นคนอีโก้จัดมาก คิดว่าตัวเองเจ๋งที่สุด เลยไม่ฟังเพลงของคนอื่น ไม่ดูคอนเสิร์ตใครเลย สมมติเล่นคอนเสิร์ตที่มีหลายศิลปิน เล่นเสร็จกวางก็กลับบ้าน จนมีอยู่งานหนึ่งมีวงมาเล่น 3 - 4 วง อยู่ ๆ เกิดเปลี่ยนใจอยากดูบ้าง ตอนนั้นวง เรโทรสเปกต์ ขึ้นเล่น ผมดูแล้วอึ้งไปเลย ยืนดูอยู่ในมุมเงียบ ๆ คนเดียว ตัวชา น้ำตาไหลเลยครับ วันนั้นคือจุดเปลี่ยนในชีวิตของผมเลย มันทำให้ผมคิดได้ว่า เราทำอะไรอยู่ตั้งนาน คนอื่นเขาพัฒนาไปถึงไหนกันแล้ว หลังจากนั้นผมมีความสุขมากๆ ในการฟังเพลงคนอื่น ยืนดูคอนเสิร์ตคนอื่นด้วยความชื่นชม จากเดิมที่ผมฟังเพลงใครก็ด่าไป เดี๋ยวนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว “กลับมาจีนี่ครั้งนี้ผมเป็นศิลปินเดี่ยว โปรดิวซ์เอง ทำดนตรีเอง คิดคอนเซ็ปต์เอง เหนื่อยแบบไม่เคยเหนื่อยมาก่อน แต่ก็สนุกมากครับ ตอนนี้ก็มีเพลงใหม่ออกมาให้ฟังแล้ว ออกซิเจนเป็นพิษ ฝากด้วยนะครับ”
Yes’sir Day
อัทธ์: ผมกับอาร์ทเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยม เล่นดนตรีมาด้วยกัน
อาร์ท: พอโตหน่อยก็รวมตัวไปเล่นตามร้านกลางคืน แล้วก็เกิดความรู้สึกอยากมีผลงานเป็นของตัวเอง เลยลองทำเพลงส่งตามค่ายต่าง ๆ สุดท้ายก็ได้มาอยู่ค่าย We Records จนค่ายยุบ ก็ย้ายไปอยู่ Nevermind Recordsค่ายก็ยุบอีก
อัทธ์: จนผู้ใหญ่ที่จีนี่เรียกเข้ามาคุย ก็เกร็งกันไปก่อนล่วงหน้าครับ แต่พอได้คุยกับพี่นิคจริง ๆ เขาเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารัก เปิดโอกาสให้ทำงานเต็มที่ อยากทำอะไรทำ แค่อย่าให้แนวเพลงมันลึกไปจนจับต้องไม่ได้ เป็นตัวเองแต่ต้องฟังไม่ยาก
ตูน: ผมเป็นสมาชิกที่เข้ามาทีหลังได้ 1 ปี สมาชิกใหม่กับค่ายใหม่ที่ชื่อว่าจีนี่ ดีใจมาก ผมเชื่อว่าคนที่เป็นศิลปินอยากอยู่จีนี่ทั้งนั้น
อัทธ์: เหมือนฝันที่เป็นจริง พี่ตูนไอดอลที่ชอบก็อยู่ที่นี่ ครั้งแรกผมเจอพี่ตูนที่ฟิตเนสในตึกแกรมมี่ ก็บอกพี่เขาว่าผมชอบพี่มาก (หัวเราะ)
อาร์ท: ผมชอบพี่ชัช มือกลองวงบอดี้สแลมอยากเก่งเหมือนเขา
ตูน: ผมชอบพี่ ๆ พาราด็อกซ์ ชอบพี่ต้ากับพี่สอง แต่ไม่กล้าแต่งตัวเหมือนพี่สองนะครับ (หัวเราะ)
อัทธ์: ในฐานะที่วงเราเป็นอีกหนึ่งน้องใหม่ ฝากผลงานเพลงของเราไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของจีนี่ด้วยนะครับ (ทำเสียงสอง) น้องใหม่ตัวเล็กในบ้านชาวร็อคหลังใหญ่ พร้อมจะสร้างผลงานให้แฟนเพลงมีความสุข เรากำลังจะมีเพลงแบบใหม่ที่ต่างจากเดิมมาให้ฟังครับ (ยิ้ม)
ปั้น Basher – เจษฏา ลัดดาชยาพร
“ผมเป็นน้องใหม่ของค่ายจีนี่ครับ ก่อนหน้านี้ผมอยู่มิวสิคบัคส์ พอหมดสัญญาก็ย้ายไปโมโนมิวสิค แล้วก็หมดสัญญาอีก ทีนี้ตั้งใจจะทำเพลงเองแบบไม่ต้องมีค่ายแล้ว ประจวบกับช่วงนั้นผมมีโอกาสไปงานแต่งของพี่อ๊อฟ บิ๊กแอส มีโอกาสได้เจอพี่นิค พี่เขาก็เห็น เออ ไอ้นี่มันนักร้องนี่หว่า พี่นิคก็เรียกมาคุย เลยนำเพลงที่ทำไว้เอามาให้พี่นิคฟัง จนวันหนึ่งมีโทรศัพท์เรียกตัวให้เข้ามาที่ตึกแกรมมี่ ชั้น 33 ไปถึงก็นั่งรอ ทักทายสวัสดี พี่ ๆ จีนี่ และเขาก็จับมือ คำแรกที่พูดคือ ยินดีด้วยที่ได้ร่วมงานกัน ขอต้อนรับสู่บ้านจีนี่ เรคคอร์ดส ผมเหวอไปนิดหนึ่ง ผู้ใหญ่ก็บอกว่าเคมีเราตรงกัน พี่ๆ จากมิวสิคบัคส์อย่างบิ๊กแอส ลาบานูน อินสติงค์ ก็อยู่ที่นี่กัน ทำงานด้วยกันง่ายสบายอยู่แล้ว
“วันนั้นผมก็เซย์เยสเลย รู้สึกว่าค่ายนี้ แข็งแรง อบอุ่น และเราก็เป็นแฟนเพลงค่ายจีนี่ด้วย ในด้านการทำงานทีมงานเปิดโอกาสให้เรามีส่วนร่วมทุกขั้นตอนขอความคิดเห็นตลอด ชอบมั้ยโอเคมั้ย เป็นการทำงานที่โคตรเจ๋งเลย ผมดีใจมากที่ได้เป็นหนึ่งในศิลปินของจีนี่ ถึงแม้ว่าวันนี้สถานการณ์ทางดนตรี บ้านเรามันไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน แต่ว่าจีนี่ยังคงความแข็งแรง ศิลปินทำอัลบั้มออกมาตลอด มีคอนเสิร์ตใหญ่เสมอ และล่าสุดที่จะเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ร็อคคือ g19 ที่ทั้งตัวผม ศิลปินคนอื่น ๆ ในค่าย และคนดู รอที่จะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ เพราะมันต้องสนุกแน่นอนครับ”
Retrospect
แน็ป: เรโทรสเปกต์อยู่จีนี่มาเกือบครึ่งชีวิตประมาณ 14 ปี การได้เข้ามาอยู่ที่นี่เหมือนเราได้เข้ามาอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่ง เราได้ความรู้และประสบการณ์ในชีวิตมากมายได้เจอเพื่อน ๆ ในแบบที่ไม่เคยเจอ ทั้งเพื่อนพี่น้องศิลปินในค่าย ทีมงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ต้องบอกว่าพวกเราเป็นวงดนตรีที่เล่นกันแบบกระจุกตัวโดยที่ไม่มีสังคม เราอยู่กันเฉพาะพวกเรา การมาอยู่ในสังคมที่กว้างขึ้นมันสอนให้เราเข้มแข็ง ไม่ว่าเราจะเจออะไรที่บั่นทอน หลายวงรุ่นน้องและรุ่นพี่ จะคอยให้กำลังใจและคำปรึกษาพวกเราเสมอครับ
การก้าวผ่านช่วงที่ยากสุดคือ ช่วงปล่อยเพลงแรกในชีวิต เพลง ไม่มีเธอ อัลบั้ม Showroom Vol.1 แทนที่เราจะปล่อยเพลงออกมาต่อเนื่องเราก็หายไป 3 ปีเลย เพราะเดโม่ 7 เพลง หลุดไปในโซเชียลทั้งที่ยังไม่ใช่มาสเตอร์ด้วยซ้ำ เหตุการณ์นี้มันทำให้เราเสียหลักไปพักหนึ่ง แต่พอตั้งสติได้เราก็มองวิกฤติให้เป็นโอกาส สร้างพลังให้ตัวเองกลับมาฟิต เพลงหลุดก็ทำใหม่ให้หมด จนได้อัลบั้มแรก Unleashed
บอม: พอออกอัลบั้มเปลี่ยนชีวิตไปเลย จากเด็กธรรมดานั่งกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง กลายเป็นคนเริ่มรู้จักวงเรโทรสเปกต์ เปิดรับแนวเพลงเฮฟวี่เมทัล เด็กวัยรุ่นแกะเพลงเราไปเล่น เดินสายทัวร์คอนเสิร์ตทั้งปี บ้านไม่ค่อยได้กลับเลย
แน็ป: คนฟังส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น (ยิ้ม) จริง ๆ แล้วเพลงเราไม่ได้แมสเลย มันเป็นแนวเฮฟวี่เมทัล แรง ดิบ มีเสียงว้าก เวลาไปกินข้าวเจอแฟนๆ เขาจะบอกว่าพี่แน็ปๆ ว้ากให้ฟังหน่อย”
เบิร์ธ: แต่กว่าจะมีวันนี้มันยาก ก่อนจะเข้าจีนี่นั่งรถกระบะแน็ปกันไป สิบปีก่อนคนไม่รู้จักดนตรีแนวเมทัล เพื่อนสนิทเคยจ้างไปเล่น เล่นได้ 2 เพลง ลูกค้าบอกให้เลิก ฟังไม่ไหว มันแรงไปสำหรับเขา ได้ค่าจ้างมา 740 บาท หารกันแล้วเหลือกันคนละไม่เท่าไร
แน็ป: จริง ๆ เรามีเพลงช้า ฟังแล้วกินข้าวได้สบาย ๆ นะ (ยิ้ม) เราเล่นดนตรีแจ๊ซได้ครับ เพราะเราเรียนดนตรีมา เวลาผ่านไป ประสบการณ์ได้สอนว่า สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือ ทำอย่างไรให้คนฟังมีความสุขที่สุด นี่คือหัวใจหลักของเรโทรสเปกต์ ทำให้คนฟังมีรอยยิ้มกลับบ้าน นี่คือเราทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แล้วครับ
text AuAi / photo JoJoJae / genie records
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เจาะลึก วง Mean 4 หนุ่มนักดนตรีมาแรงแห่งปี นิสัยดี เพลงเพราะมาก!! (มีคลิป)
โปเตโต้ ชวนรุ่นใหญ่ ปู พงษ์สิทธิ์ Feat เพลง “ทุกด้านทุกมุม”
แบมแบม got7 กับบทสัมภาษณ์แก้คิดถึง