Tattoo

รอยสักดารา สวย เก๋ เท่ หลากสไตล์ หลายที่มา สะท้อนความหมายดีๆ ผ่านรอยหมึก

Alternative Textaccount_circle
event
Tattoo
Tattoo

เดี๋ยวนี้รอยสักที่เคยจำกัดเฉพาะกลุ่ม กลายมาเป็นศิลปะบนเรือนร่างที่หลายคนหลงใหล เช่นเดียวกับดาราเหล่านี้ที่ต่างก็มีรอยหมึกสุดแซ่บประทับไว้บนผิวกาย ซึ่งนอกจากจะสวยแล้ว ยังบอกเล่าถึงเรื่องราวในชีวิตและวิธีคิดของพวกเขาและเธอด้วย ตามสุดฯ ไปส่องกันดีกว่าว่า รอยสักดารา จะสื่อถึงอะไรกันบ้าง

รวม รอยสักดารา กับความหมายดีๆ

ยิปโซ อริย์กันตา มหพฤกษ์พงศ์

ยิปโซเคยเล่าให้สุดฯ ฟังถึงรอยสักของเธอว่า “รอยสักแรกของยิปซีคือตัวอักษรลายมือของตัวเอง คําว่า ‘วาง’ และ ‘สร้าง’ ที่ข้อมือทั้งสองข้าง เพื่อให้ง่ายต่อการเห็น อ่านแล้วเข้าใจเลยว่าคืออะไร จะได้เตือนตัวเอง เพราะตอนที่ตัดสินใจสักเป็นช่วงที่ชีวิตเราเป๋ๆ กําลังมึนๆ งงๆ คิดไม่ค่อยออกว่าจะต้องทําอะไรยังไง จะใช้ชีวิตแบบซ้ายหรือขวาดี เลยมองว่าต้องมีฟังก์ชันสองอย่างนี้ให้ตัวเอง จะได้ไม่ต้องคิดมาก คืออะไรที่ไม่จําเป็น มีเยอะไป ก็วางไว้บ้าง และถ้ามีแรง ก็ลุกขึ้นมาสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์หน่อย

รอยสักดารา

“จากนั้นก็สักเพิ่มที่หลังใบหู เป็นรูปนาฬิกาทราย หมายถึงการเคานต์ดาวน์ เตือนตัวเองว่าเรากําลังค่อยๆ ตายอยู่ ซึ่งพอมาสักตรงหัวไหล่ก็ยังคงเป็นรูปนาฬิกาทราย และหมายถึงการเคานต์ดาวน์เหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมเรื่องราวแต่ละด้านลงไป อย่างรูปหัวใจ เป็นตัวแทนของความรัก รูปดาว เป็นเรื่องของชื่อเสียง รูปดอกไม้ ก็เป็นความสวยงาม ส่วนตาเป็นอวัยวะที่สื่อถึงร่างกาย

“ก่อนสักเราคิดดีแล้วว่าลายเหล่านี้ หรือข้อความเหล่านี้ มีความหมายกับตัวเรา ก็เลยตัดสินใจไม่ยากที่จะสัก อีกอย่างทุกลายที่สักมายิปคิดแล้วว่าเมื่อเราโตไปเป็นคุณยาย ก็จะยังมีลายพวกนี้อยู่บนตัวได้ คือสามารถที่จะอยู่กับมันไปได้”


 

แบงค์ ปรีติ บารมีอนันต์

ส่วนพี่แบงค์ก็บอกว่ารอยสักทุกรอยบนตัว คือสิ่งที่สะท้อนตัวตนของเขา

“ผมเริ่มสักตั้งแต่อายุ 20 ที่สักก็เพราะวัฒนธรรมดนตรีร็อคสมัยก่อนจะผูกเข้ากับการสัก แล้วเรามาสายร็อค ก็เลยอยากจะสัก รอยแรกที่สักเป็นรูปพระอาทิตย์บนหัวไหล่ซ้าย ถัดมาคือรูปมังกรที่ต้นแขนขวา ทั้งสองลายผมสเก็ตช์แบบเอง ที่เลือกมังกรกับพระอาทิตย์ เพราะคิดว่าสองลายนี้เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ ไม่มีวันสิ้นสุด อย่างมังกรเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมเอเชียที่รู้จักไปทั่วโลก ซึ่งพอถึงวันหนึ่งอาจจะเอ๊าต์ไป แต่สักพักก็จะกลับมาใหม่ เป็นอย่างนี้ตลอด ส่วนพระอาทิตย์ตกแล้วก็ขึ้นใหม่ทุกวัน และที่สําคัญคือสองลายนี้ผมไม่มีวันเบื่อ เพราะไม่ได้เป็นเชิงสัญลักษณ์ขนาดนั้น

“รอยสักแต่ละจุดบนตัวผมมีความหมายที่ชัดเจนในตัวมันเอง อย่างใต้ข้อศอกทั้งสองข้างลงมาเป็นชื่อจริงของพ่อกับแม่ และที่หน้าอกเป็นรูปไมโครโฟน พร้อมข้อความ My Voice My Savior สื่อว่าเสียงร้องของผมช่วยชีวิตผมไว้ ทําให้ครอบครัวดีขึ้น ซึ่งนี่เป็นรอยสุดท้ายที่ผมสักเมื่อ 8 ปีที่แล้ว จริงๆ อยากสักอีกหลายที่ เพราะคิดว่าน่าจะเพิ่มอีกได้ ตอนนี้ที่อยากจะสักเพิ่มคือข้างหลัง เป็นตราประจําตระกูลที่ผมสเก็ตช์ไว้ ซึ่งจะสักเหมือนกันกับน้องผม”

 


 

ส้ม อมรา ศิริพงษ์

“ตอนอายุ 18 กําลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ไปสักลายปีกนกเล็กๆ บริเวณต้นแขนซ้ายเป็นจุดแรก พอขึ้นปี 3 ก็ค่อยๆ งอกขยายออกมาเป็นลายใหญ่ กลายเป็นรูปพระสุรัสวดีและมีดอกบัวรายรอบ ที่สักเป็นรูปพระสุรัสวดีเพราะว่าเราเรียนด้านนิเทศศิลป์ ก็ถือว่าเป็นนักเรียนศิลปะคนหนึ่ง ซึ่งถ้านึกถึงศิลปะคนส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงพระพิฆเนศ แต่พระพิฆเนศเป็นผู้ชาย เราไม่อยากให้คาแร็คเตอร์ตัวเองดูแมน เลยเลือกพระสุรัสวดีแทน เพราะท่านเป็นเทพแห่งศิลปวิทยาการ แถมยังเป็นครูของพระพิฆเนศ และเป็นผู้หญิงด้วย

“ตอนนี้บนตัวส้มมีรอยสักทั้งหมด 3 จุด คือตรงแขน หลัง และเอว ซึ่งทุกลายผ่านการคิดมาอย่างดีแล้ว และส้มยังออกแบบเอง อย่างพระสุรัสวดีตรงแขนก็มาจากการที่เราไปเห็นรูปถ่ายพระสุรัสวดีที่แกะสลักจากหินอ่อนในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ประเทศฝรั่งเศส เลยสเก็ตช์จากรูปถ่ายออกมา แล้วสร้างองค์ประกอบรอบๆ เป็นลายดอกไม้ให้สวยงาม หลังจากนั้นลายดอกไม้ก็เลื้อยลามไปถึงข้างหลัง

“ส่วนบนเอวส้มสักเป็นอักษรจีน คําว่าหลงและหู่ แปลว่าเสือกับมังกร ซึ่งในคติของคนจีนเสือและมังกรเป็นคู่ตรงข้าม เหมือนหยินกับหยาง แต่เป็นคู่ตรงข้ามที่พอผสมผสานกันอย่างลงตัวแล้วจะเกิดเป็นสิ่งที่ดีได้  ก็เลยสักสองคํานี้ นอกจากนี้ยังมีลายใหม่ที่กําลังจะสักเพิ่มในระยะเวลาอันใกล้นี้ เป็นรูปดอกบัว ซึ่งเป็นตัวแทนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงสิ่งที่เราเคารพบูชา” พี่ส้มอธิบายถึงรอยสักทั้งหมดบนตัวเธอ ณ ตอนนี้ ให้ฟัง


 

นท พนายางกูร

สาวนท ก็เป็นอีกคนที่มีรอยสักความหมายดีๆ บนตัว เพียงแต่ว่าแต่ละลายมีความเรียบง่าย และไม่ใหญ่โต โดยเธอเล่าว่า “นทเริ่มจากการสักเองตอนไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อิตาลี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากโฮสต์แฟมิลี่ด้วย ครอบครัวที่เราไปอยู่มีสองสาวพี่น้อง คนพี่ี่ฮิปปี้มาก สักโน่นนี่นั่น เราเห็นก็รู้สึกว่าเท่ อยากทําบ้าง ยิ่งเขาเล่าว่า ‘ฉันสักรอยนี้เองนะ ใช้เข็มค่อยๆ จิ้มเอา’ ก็คิดว่าเราน่าจะทําได้

วันหนึ่งอยู่ในห้องนอนแล้วรู้สึกเบื่อ เลยไปเอาเข็ม แอลกอฮอล์ กับหมึกวาดรูปมา คิดว่าจะสักเป็นรูปตัวโน้ตแถวๆ เชิงกราน เพราะว่าพอใส่กางเกงในแล้วจะไม่เห็น แต่พอลงมือสักได้เป็นรูปวงกลมก็ต้องหยุด เพราะไม่สวยเลย ทุกวันนี้ก็ยังเป็นรูปวงกลมอยู่ที่เดิม

“ส่วนรอยที่สอง คือสัญลักษณ์ Peace ข้างหลัง สักหลังจากผ่านเวทีเดอะสตาร์ และเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว ที่สักอาจจะเป็นเพราะเก็บกดจากหลายๆ เรื่อง อยากจะปลดปล่อยตัวเอง แล้วรูปที่สักเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ ซึ่งนทชอบมาก ก็เลยตั้งใจสักตรงข้ามกับหัวใจ

“จนช่วงที่นทไปแบ็กแพ็คเพื่อค้นหาตัวเองที่ยุโรป 1 เดือนก็รู้สึกว่าเราค้นพบอะไรหลายๆ อย่าง จนอยากจะบันทึกลงในร่างกายของเรา เลยสักสองจุด คือที่หลังหู และเท้า เป็นรอยเล็กๆ ถ้าไม่สังเกตดีๆ จะไม่เห็น ตรงหลังใบหูเป็นรูปหน้ายิ้มหน้าบึ้ง ส่วนที่เท้าเป็นรูปหอยทาก เพราะตอนไปยุโรปเห็นประติมากรรมรูปหอยทากบ่อยมาก คนแถวนั้นบอกว่ามีไว้เพื่อให้คนระลึกถึงการหยุดนิ่ง และมองสิ่งรอบข้าง เพราะสมัยนี้คนใช้ชีวิตอย่างรวดเร็ว ทําให้ความสวยงามของชีวิตหายไป ส่วนหน้ายิ้มคือเตือนให้รู้ว่า ในชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ ไม่มีอะไรที่อยู่กับเราไปตลอด

“หลังจากนั้นเว้นมาไม่ถึงปี น้องชายนทเรียนจบชั้นมัธยม แล้วจะไปเรียนต่อเมืองนอก ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่เราต้องห่างกันไกลและนาน แม่จึงให้น้องมาเยี่ยมนทที่กรุงเทพฯ แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งก็ชวนกันไปสัก เพราะเราเคยคุยกันไว้แล้วว่าอยากสักรูปอะไรสักอย่างที่เหมือนกัน จะได้รู้สึกว่าเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา จนได้มาเป็นแผนที่ประเทศไทย เพราะเราเป็นคนไทย ไปอยู่ไหนก็จะได้จําประเทศไทยได้ นทเองเวลาดูรอยสักนี้ก็จะคิดถึงน้อง เวลามาเจอกันก็จะเอารอยสักมาเทียบกันแล้วถ่ายรูปรียูเนียน เวลาไปต่างประเทศแล้วมีคนถามว่านี่คืออะไร นทก็จะบอกว่าไทยแลนด์ นี่ไงประเทศไทย”

 


 

สายป่าน อภิญญา สกุลเจริญสุข

หากพูดถึงดาราสาวที่มีรอยสักสวยๆ หนึ่งในนั้นต้องมีสายป่าน อภิญญา ซึ่งเธอเป็นอีกคนที่มาที่ไปของรอยสักให้สุดฯ ฟัง “แต่ละครั้งที่จะสักก็คิดนานเหมือนกัน เพราะแต่ละลายเป็นลายที่ทําขึ้นใหม่หมด อย่างที่หลังจะมีอินเดียนแดง ป่านก็คิดหน้าตาขึ้นมาใหม่จากประสบการณ์ของเราที่ได้อ่านหนังสือมา ว่าชุดชนเผ่าแบ่งเป็นกี่เผ่า เผ่าไหนใส่อะไรบ้าง ที่หัวใส่ขนนกอะไร รายละเอียดพวกนี้เราจะคิดไปบอกกับช่างสักอีกที

“ซึ่งช่างที่ป่านทําด้วยเป็นช่างประกวดที่มีฝีมือ มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เราก็จะเจอกันคนละครึ่งทาง ป่านจะบอกเขาว่าเราอยากได้อะไร อย่างม้าก็ต้องบอกว่าอยากให้เป็นม้าแบบไหน ตัวผู้ หรือตัวเมีย หันซ้ายหรือหันขวา แล้วเขาก็จะเอาไปทําต่อให้ เหมือนกับช่างเป็นศิลปินวาดภาพลงบนเฟรม ซึ่งก็คือผิวของเรา

“อย่างรอยสักที่หน้าขา ซึ่งเป็นรูปเสือกับชูการ์สกูล ก็ออกแบบขึ้นใหม่ ที่สักเสือเพราะว่าเรามีหมาป่า มีม้าแล้ว อีกอย่างป่านไม่ค่อยเอ็นดูสัตว์แบ๊วๆ ที่ดูหงุมหงิมอย่างกระต่าย ยูนิคอร์น หรือเท็ดดี้แบร์ จะชอบสัตว์ที่ค่อนข้างมีสง่าราศี มีพลังมากกว่า ก็เลยเลือกที่จะสักพวกนี้

“รอยสักบนตัวเรามีอยู่เยอะ และก็มีความหมายทุกจุด แต่เป็นความหมายในแง่ของความชอบ เป็นความทรงจําที่อยู่บนความโพสิทีฟมากกว่าเนกาทีฟ เป็นเรื่องของสีสัน ความสวยงาม และความชอบส่วนตัวมากกว่า และก็ไม่มีครั้งไหนที่ทําแล้วไม่ชอบ เพราะเราคิดดีแล้ว และทุกรอยก็มีสตอรี่ในตัวมันเองอยู่แล้ว”


 

เพชรจ้า วิเชียร กุศลมโนมัย

เป็นอีกคนที่มีรอยสักอลังการอยู่กลางหลัง ซึ่งเพชรจ้าบอกเล่าถึงความหมายบนรอยสักของเขาว่า “รอยสักบนแผ่นหลังของผมมีความหมายอยู่ เป็นการบอกเล่าว่าคนเรากว่าจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของความสําเร็จได้ จะต้องต่อสู้ ฝ่าฟัน และสูญเสียอะไรไปบ้าง ซึ่งรูปนี้ผมเป็นคนคิดเอง หาภาพมาเอง แล้วเอาไปคุยกับช่างสักเลย

“อยากบอกน้องๆ ที่จะสักว่าช่างสักจินตนาการไม่เหมือนเราหรอก อย่าเอาผิวหนังเราไปขึ้นกับเขา ก็เหมือนเข้าร้านตัดผม ต้องมีทรงในใจ ไม่ใช่บอกว่าแล้วแต่พี่ ถ้าออกมาไม่เหมือนกับที่เราคิดก็มานั่งเสียใจ คือผมยังยาวได้ แต่รอยสักจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต อย่างน้อยมีภาพที่สมบูรณ์แบบไปให้เขาดูก่อนก็จะดี”


 

ป๊อก ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์

เจ้าบ่าวหมาดๆ อย่างหนุ่มป๊อกนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มีรอยสักสวยมากคนหนึ่ง ซึ่งรอยสักที่สร้างการจดจำได้อยางมาก คือรอยสักรูปแม่ปุ๊ก อาภัสรา หงสกุล สวมมงกุฎนางงามจักรวาล กลางแผ่นหลังของเขานั่นเอง ซึ่งหนุ่มป๊อกสักไว้เพื่อเป็นการตอกย้ำในความรักที่มีต่อคุณแม่ของเขา และอีกหนึ่งรอยหมึกที่มีความหมายมากๆ คือรูปคุณพ่อที่เขาเลือกสักไว้ใกล้หัวใจ เพื่อสื่อว่าพ่อคือคนสำคัญสุดสำหรับเขา


 

ตูน อาทิวราห์ คงมาลัย

ด้านขวัญใจคนไทยทั้งประเทศ อย่างพี่ตูน บอดี้สแลม ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่หลงใหลการสัก บนตัวของเขาจึงมีรอยสักสวยๆ อยู่หลายจุด โดยพี่ตูนมองว่ารอยสักเป็นเหมือนของสะสมและงานศิลปะชั้นเลิศ และยังเป็นเครื่องบันทึกความทรงจำที่คอยย้ำเตือนว่าในแต่ละช่วงของชีวิตมีเหตุการณ์หรือสิ่งสำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง

 


 

เอ็มม่า สโตน

ข้ามไปฝั่งฮอลลีวู้ดกันบ้าง จริงๆ แล้วซุปตาร์ฮอลลีวู้ดที่รักรอยสักนั้น มีอยู่เยอะมาก แต่คนหนึ่งที่อยากพูดถึงคือ เอ็มม่า สโตน เพราะรอยสักของเธอมีที่มาที่ไปที่ซาบซึ้งมาก เกิดจากการที่คุณแม่ของเธอต่อสู้กับโรคมะเร็งจนหายป่วย เธอซึ่งเป็นกำลังใจให้คุณแม่มาตลอด จึงตัดสินว่าจะสักเป็นรูปเดียวกันกับแม่ โดยใช้เพลง ‘Blackbird’ ของวง the Beatles ซึ่งเป็นเพลงโปรดของทั้งคู่ เป็นสื่อกลาง และยังให้ พอล แมคคาร์ทนีย์ หนึ่งในสมาชิกของวงออกแบบรอยสักให้ จนได้เป็นรูปขานกสีดำ เก๋ๆ แต่ความหมายดีมากเลย

 


 

ไมลีย์ ไซรัส

อีกคนหนึ่งคือสาวไมลีย์ ที่มีรอยสักบนตัวเยอะมาก แต่ที่สุดฯ ชอบคือรอยสักคำว่า ‘Just Breathe’ ตรงใต้หน้าอกด้านซ้ายของเธอ ที่ไมลีย์สักเพื่อระลึกถึงเพื่อนของเธอที่เสียชีวิตจากโรคปอด รวมถึงปู่และย่าที่จากไปด้วยโรคมะเร็งปอดด้วย


 

แซม สมิธ

คนสุดท้ายที่สุดฯ ขอยกมา ณ ที่นี้คือ แซม สมิธ นักร้องคนดังซึ่งสักเครื่องหมายเท่ากับ  = บนนิ้วนางข้างซ้าย โดยบอกถึงเหตุผลและความหมายของรอยสักนี้ว่า เป็นการสื่อถึงการสนับสนุนเรื่องความเท่าเทียมกันของคนทุกเพศบนโลกนี้ และสนับสนุนการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันด้วย

รอยสักของแต่ละคนก็มีความหมายและนัยสำคัญแตกต่างกันไป แต่ทุกรอยหมึกล้วนบอกเล่าถึงเรื่องราวในชีวิตและวิธีคิดของพวกเขาได้ดีทีเดียว ว่าไหมคะ

ภาพจาก IG : bankbankclash , apinyamoment , pokmindset

 

เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง :

 

เมื่อ 6 ดาราตัวแม่ แปลงร่างเป็นหญิง แต่ละคนเป๊ะปังจนสาวๆ ยังอาย

สายโหดก็มา!! ดาราสาวกับกีฬามวย สวยด้วยสตรองด้วยจริงๆ !!

สุดสัปดาห์

keyboard_arrow_up